Getting your Trinity Audio player ready...
|
เรื่องนี้..เป็นเรื่องของลุงเปล่ง.. ซึ่งเป็นบุคคลยุคต้นวิชชาทีชอบมาเล่า เรื่องราวของหลวงปู่ให้หลวงพ่อ ธัมมชโยฟัง บ่อย ๆ อีกทั้งยังเคยมาวัดพระธรรมกายตั้งแต่ครั้งยังเป็นทุ่งนาฟ้าโล่งอีกด้วย
ลุงเปล่งเป็นทานบดี ของวัดปากนํ้า..ที่ชอบมาถวายภัตตาหารกับหลวงปู่.. พร้อมกับภรรยาอยู่เป็นประจำ ด้วยเหตุนี้.. จึงทำให้ลุงเปล่งคุ้นเคยกับหลวงปู่ แต่ทว่า..แม้จะคุ้นเคยบกับหลวงปู่มากสักแค่ไหน ลุงเปล่งก็ไม่ค่อยจะเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงปู่สักเท่าไรที่บอกอย่างนี้ไม่ใช่เพราะลุงเปล่งไม่เคารพหรือลบหลู่หลวงปู่ แต่เป็น เพราะลุงเปล่งไม่ค่อยเข้าใจและตามไม่ทันในเรื่องการทำวิชชาของหลวงปู่ โดยลุงเปล่งจะชอบพูดว่า “หลวงพ่อท่านศักดิ์สิทธิ์เกินไป” อีกทั้งยังไม่ค่อยเชื่อในอานุภาพวิชชาธรรมกายอีกด้วย
ด้วยเหตุนี้..ลุงเปล่งจึงเป็นคนพิเศษเพียงคนเดียว ที่แม้ยังไม่ เข้าถึงพระธรรมกาย แต่หลวงปู่ท่านก็เอ็นดูและอนุญาตให้เข้าไปในโรงงานทำวิชชาซึ่งก็คือกุฏิของท่าน เพื่อให้ลุงเปล่งได้ประจักษ์ในความศักดิ์สิทธิ์ของวิชชาธรรมกายด้วยตัวเอง ทั้ง ๆ ที่ในสมัยนั้น ผู้ที่จะเข้าไปในโรงงานทำวิชชาได้ ต้องเป็นพวกที่เข้าถึงพระธรรมกายเท่านั้น แต่สำหรับลุงเปล่งแล้ว หลวงปู่จะพาท่านไปที่ประตูของ โรงงานทำวิชชาแล้วบอกว่า..
“เปล่ง..เวลาเอ็งเข้ามานี่ เอ็งเอามือล้วงข้างล่าง..แล้วดันไม้อย่างนี้นะ แล้วประตูมันจะเปิดเอง และถ้าเอ็งเข้าไปแล้ว..ก็ให้นั่งเฉย ๆ นะ..อย่าส่งเสียงพูดอะไร เพราะเขากำลังทำวิชชากัน”
ซึ่งพอลุงเปล่งลองเข้าไปจริง ๆ ท่านก็ออกมาเล่าว่า “พอเข้าไปแล้ว..เราเหมือนคนบ้านะ เพราะไม่รู้เขาพูดอะไรกัน พูดกันอยู่ 2 คำ คือ ทำให้ละเอียด ..ละเอียดลงไป ..ละเอียดหรือยัง ซึ่งถ้าเป็นผู้หญิงก็จะตอบหลวงปู่ว่า ละเอียดแล้วเจ้าค่ะ ถ้าเป็นพระ..ก็จะตอบว่า ละเอียดแล้วครับ คือ ฟังแล้ว..ไม่เห็นจะมีอะไร มีแต่คำว่าละเอียด และพอหลวงปู่ถ่ามพวกที่ทำวิชชาว่า สวา่งหรือยังเขาก็ตอบออกมาว่า สว่างแล้วเจ้าค่ะ…”
จากนั้นหลวงปู่ก็บอกลุงเปล่งว่า “..เออ เปล่ง.!! ไหนเอ็งลองออกไปดูสิ ท้องฟ้าสว่างหรือยัง” ซึ่งลุงเปล่งก็ได้แต่ไม่เข้าใจ คือ ไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไรกัน แต่พอเปิดประตูออกมาดูนอกโรงงานทำวิชชา ทันใดนั้น..ลุงเปล่งก็เห็นท้องฟ้าสว่างจ้าเลย แต่ลุงเปล่งก็แค่ นึก ในใจวา่ “..เอ..!! ตอนเราเข้า มาวัดใหม่ๆ ท้องฟ้ายังมืดตื้อ อยู่เลย…มืดจนน่ากลัว เอ๊ะ..!! แต่ทำไมตอนนี้มันสว่างจ้าเลย…”
จากนั้นก็กลับเข้ามารายงานหลวงปู่ทั้ง ๆ ที่ยังงงไม่หายว่า.. “สว่างแล้วครับ” ซึ่งพอหลวงปู่ฟังเสร็จ ท่านก็นิ่ง ๆ ต่อไปโดยไม่พูดอะไร จากนั้นลุงเปล่งก็คิดในใจว่า.. “เรานั่งมาตั้งนานแล้ว ไม่เห็นจะมีอะไร มีแต่พูดคำว่าละเอียด ..ออกไปดีกว่า..ขืนอยู่ในนี้ต่อไป.. บ้ากันพอดี”
ในช่วงนั้น..นอกจากลุงเปล่งจะยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องการทำวิชชาแล้ว ลุงเปล่งยังเชื่อและศรัทธาในวิชาโหราศาสตร์อีกด้วย เพราะในช่วงที่ลุงเปล่งหัดเป็นหมอดู ท่านจะชอบมาคุยอวดให้ หลวงปู่ฟัง ว่าตำราโหราศาสตร์…มันดีอย่างนั้น ..อย่างนี้ แม่น อย่างนั้น.. อย่างนี้ ซึ่งพอหลวงปู่ฟังเสร็จ ท่านนก็บอกวา่ “..สู้ “สัมมา อะระหัง” ไม่ได้หรอกวะ เพราะเป็นทางมรรคผลนิพพาน”
แต่ลุงเปล่งก็ยังไม่เข้าใจเท่าไร แถมยังยืนยันความเชื่อของตัวเองอยู่ดีคือเมื่อลุงเปล่งมาหาหลวงปู่ทีไร ก็จะบอกแต่ว่าโหราศาสตร์แม่นอย่างนั้น..อย่างนี้..อยู่เรื่อย จนหลวงปู่รำคาญ จึงพูดกลับไปว่า.. “เปล่ง..ข้าให้เอ็งดูแม่นสัก 10 ปี คือ ในช่วง 10 ปีนี้.. เอ็งจะแม่นมากทีเดียว แต่หลังจากนั้น ตอนท้ายของชีวิตนี่..เอ็งจะจำได้แค่ “สัมมา อะระหัง” วิชาอย่างอื่นเอ็งจะลืมหมดเลย.!!!”
ซึ่งตอนนั้น..ไม่ว่าหลวงปู่จะพูดยังไงลุงเปล่งก็ไม่เชื่อ หนำซํ้ายังไม่คิดว่าจะเป็นไปได้เลย เพราะช่วงนั้นลุงเปล่งเป็นหมอดูที่แม่นมาก คือ แม่นในระดับเทพเรียกทวด เพราะไม่ว่าลุงเปล่งจะจับตำราไหนมาอ่าน ก็เข้าใจทะลุปรุโปร่งหมด แถมยังแตกฉานถึงขนาดเขียนตำราหมอดูเองได้ แต่หลังจาก 10 ปีผ่านไปเท่านั้นเอง…ลุงเปล่ง..เกิดเป็นอะไรไปก็ไม่ทราบ ทายใครก็แค่เกือบถูก ซึ่งก็แปลว่า ไม่ถูก แถมไม่แม่นเหมือนเก่า เพราะที่เคยศึกษามามันลืมไปจริง ๆ ซึ่ง ลุงเปล่งบอกว่า ที่พอจะจำได้บ้าง..ก็เป็นพวกคาถาอาคม และเมื่อเป็นอย่างนี้ ลุงเปล่งก็เลยเกิดอาการเสียเซลฟ์ (Self) เพราะดูดวงใครก็ไม่ถูก จึงกลับมากราบเรียนถามหลวงปู่ว่าเพราะอะไร..ทำไมมันดูไม่แม่น ซึ่งท่านก็ตอบลุงเปล่งไปว่า “..ก็มันครบ 10 ปีแล้วนี่หว่า”
ซึ่งพอลุงเปล่งนับเวลาดู ท่านก็ต้องทึ่ง เพราะเมื่อนับเวลาดูแล้วมันเลย 10 ปีไปแค่ 1 วัน เท่านั้นเอง ลุงเปล่งก็กลายเป็นหมอดูที่ดูไม่แม่นแล้ว และที่น่าทึ่งมากไปกว่านั้น คือ ในบั้นปลายชีวิตของลุงเปล่ง ก็เป็นไปตามที่หลวงปู่บอกไว้เป๊ะเลย คือ ลุงเปล่งบอกว่า..“เป็นไงก็ไม่รู้ คาถง..คาถา หมอดง..หมอดูอะไรที่เคยเรียนมามันลืมไปหมดเลย เหลือแต่ “สัมมา อะระหัง” อย่างเดียวจริงๆซึ่งทำไมมันลืมก็ไม่รู้เหมือนกัน ทั้ง ๆ ที่พยายามนึก ๆ แล้ว แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออก”
ซึ่งภรรยาลุงเปล่งเล่าให้พระเดชพระคุณหลวง พ่อธัมมชโยฟัง ที่อาคารดาวดึงส์ว่า “คณุ เปล่ง เขาจำอะไรไม่ได้เลย จริงอย่างที่หลวงพ่อพูด ไว้ไม่มีผิด คือไม่รู้ คุณเปล่งแกเป็นอะไร เขาบอกจำอะไรไมค่อยได้เหลือแต่ “สัมมา อะระหัง” อย่างเดียวเท่านั้น”
จากการที่ลุงเปล่งไม่ค่อยเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงปู่เลยทำให้มีคนไปถามลุงเปล่งว่า ทำไม..ถึงไม่ค่อยเชื่อหลวงพ่อ? ซึ่งลุงเปล่งก็จะตอบทันทีเลยว่า “ก็จะให้เชื่อได้ยังไง เพราะเคยเห็นเกจิอาจารย์แทบทุกคนเลย เวลาเขาจะทำของขลัง หรือทำอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์อะไร เขาจะมีพิธีรีตอง จะต้องท่องคาถา ต้องเขียนเลขสักยันต์ หรือไม่ก็เสกเป่าอะไรสักอย่างเพื่อให้มันศักดิ์สิทธิ์แต่นี่..ไม่เห็นหลวงพ่อท่านทำอะไรเลยสักอย่างคือพอเราพูดหรือขออะไรเสร็จ.. แป๊บเดียว..ยังไม่ทันไรเลย..หลวงพ่อท่านก็พูดกลับมาว่า.. เรียบร้อยแล้ว หรืออยา่ งขณะทหี่ ลวงพอ่ กำลังนงั่ ฉันอยู ่พอมีญาติโยม เข้ามาขอบารมีให้ท่านช่วยอะไรสักอย่าง ท่านก็ทำแค่ส่งเสียง อือ ๆ…แถม อือ..ไป..ฉันไปอีกต่างหาก…”
อย่างมีอยู่ครั้งหนึ่ง ลุงเปล่งก็ขนเอาผ้าเช็ดหน้าที่พิมพ์รูปหลวงปู่ที่ท่าน ทำไว้แจกญาติโยมที่มาร่วมงานมุทติตาหลวงปู่ในครั้งที่ท่าน ได้รับเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นจำนวนร้อย ๆ ผืน… มาให้หลวงปู่ช่วยทำให้ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งลุงเปล่งก็เอาไปวางไว้ข้าง ๆ สำรับอาหารของหลวงปู่ เพราะหลวงปู่ว่าให้วางไว้นั่น แล้วท่านก็นั่งฉันไปเรื่อย ๆและพอฉันเสร็จ ท่านก็บอกลุงเปล่งว่า “เสร็จเรียบร้อยแล้ว เอ็งยกออกไปได้เลย”
พอลุงเปล่งเห็นดังนั้น..แทนที่จะอะเลิร์ตดีอกดีใจ กลับขัดอกขัดใจมาก อีกทั้งยังรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที เพราะมองว่าหลวงปู่ไม่ยอมทำอะไรให้สักอย่าง คิดว่าหลวงปู่ท่านไม่ยอมเสกผ้าเช็ดหน้าให้ และเมื่อคิดดังนี้..ก็เลยเอาผ้าเช็ดหน้านั้น เที่ยวไล่แจกญาติโยม
จนหมดเกลี้ยง ไม่เหลือเลยแม้แต่ผืนเดียว แถมไม่ยอมเก็บไว้เป็น ของตัวเองเลยสักผืน เพราะมัวแต่คิดว่า ผ้าเช็ดหน้าทั้งชุดนี้.. จะศักดิ์สิทธิ์ ได้อย่างไร เพราะหลวงปูท่านไม่ยอมเสกให้ แต่ที่ไหนได้…
หลังจากที่ลุงเปล่งแจกเขาจนหมดแล้ว ไม่นานต่อมา ปรากฏว่า มีคนเจออานุภาพกันมากมาย อีกทั้งยังมาเล่าเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ ของผ้านั้นให้ลุงเปล่งฟัง ว่าเจออานุภาพอย่างนั้น..อย่างนี้ เช่น บางคนไปทดลองเอาปืนยิงผ้า ซึ่งปรากฏว่าปืนพังไปเลย คือ ยิงไม่ออก
ด้วยเหตุนี้..เลยทำให้ลุงเปล่งนึกเสียดายขึ้นมาทันที จนพูดออกมาว่า “ตายแล้ว..ๆ ไม่มีแล้ว …แจกเขาไปหมดแล้ว” และพอลุงเปล่งมารู้ทีหลังว่า ผ้าเช็ดหน้านั้นศักดิ์สิทธิ์ ลุงเปล่งก็เกิดคาใจ ขึ้นมาว่า ..อยู่ ๆ ผ้าเช็ดหน้าเกิดศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาได้อย่างไร ในเมื่อหลวงปู่ไม่ได้เสก ไม่ได้เป่าอะไรเลย!!
ด้วยความคาใจอย่างแรงนี้เอง ลุงเปล่งก็เลยเข้าไปถามท่านว่า “หลวงพ่อ..ทำยังไงหรือครับ ไม่เห็นเสกเป่าอะไรกับเขาเลย แล้วทำไมเขาเอาไปยิงแล้ว..ยิงไม่ออก…”
ซึ่งหลวงปู่ก็ตอบแบบนิ่ง ๆ ว่า “ก็นึกๆ เอา…” ลุงเปล่งก็ถามต่ออีกว่า “นึกยังไง..??” หลวงปู่ก็ตอบเพิ่มว่า “..ก็นึกในตำแหน่งที่นึก ๆ แล้วมันสำเร็จสิ” ซึ่งก็คือศูนย์กลางกายฐานที่ 7 นั่นเอง…
และนี่ก็คือสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ลุงเปล่งชอบพูดว่า “หลวงพ่อท่านศักดิ์สิทธิ์เกินไป” คือ ดูภายนอกเหมือนหลวงปู่ท่านไม่ทำอะไร แต่จริงๆท่านทำงานภายในตลอดเวลา จนเป็นเรื่องปกติธรรมดาของท่าน จึงทำให้ท่านเป็นมหาปูชนียาจารย์ที่ ศักดิ์สิทธิ์ และมีอานุภาพอันไม่มีประมาณ…
หรืออีกคราวหนึ่ง ลุงเปล่งและภรรยาได้ไปถวายภัตตาหารเพลกับหลวงปู่และคณะพระภิกษุสงฆ์ที่วัดปากนํ้า และพอหลวงปู่ฉันเสร็จ ท่านก็พูดกับลุงเปล่งว่า.. “เออ..! พระจะให้พรแล้วนะ เดี๋ยวพระพุทธเจ้าท่านเสด็จลงมานี่นะ เอ็ง..จะเอากี่องค์ ..เดี๋ยวให้ท่านมาให้พรเอ็งสักหมื่นองค์ ศักดิ์สิทธิ์นัก..อธิษฐานเอาเลยนะ เอ็งอธิษฐานเอา..ศักดิ์สิทธิ์ เดี๋ยวท่านมาหมื่นองค์” แถมท่านยังยํ้าอีกว่า “มาแน่นอน..!!!”
พอลุงเปล่งฟังหลวงปู่พูด อย่างนี้…ก็เกิดอาการเป็น งง ไม่เข้าใจ และคิดในใจวา่ “เราคงบ้าแน่ๆ ท่านพูดอะไรของท่านไมรู้ ..พระพุทธเจ้าจะเสด็จลงมาให้พรได้ยังไง”
ซึ่งการที่ลุงเปล่งคิดอย่างนี้ เนื่องจากลุงเปล่งไม่เข้าใจเรื่องการทำวิชชา ก็เลยไม่เข้าใจความหมายที่หลวงปู่พูด แต่ถ้าพวกที่ทำวิชชาเป็นได้มาฟัง ก็จะเข้าใจทันทีว่า การอาราธนาพระพุทธเจ้ามาแค่ หมื่นองค์ เป็นเรื่องที่ง่ายนิดเดียว หรือเป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งนอกจากลุงเปล่งจะไม่เข้าใจคำพูดที่หลวงปู่พูดแล้ว ลุงเปล่งก็ยังมีแนวร่วม คือ ภรรยาของลุงเปล่งที่มาด้วยกัน และไม่เข้าใจสิ่งที่ท่าน พูดเหมือนกัน ซึ่งภรรยาลุงเปล่ง บอกว่า “ไม่รู้ว่าหลวงพ่อท่านพูดอะไร ของท่านเราก็เลยอธิษฐานส่งเดชไป เพราะตอนนั้น..ไม่คิดว่า..ท่านจะศักดิ์สิทธิ์จริง เพราะหลวงพ่อท่านก็แค่พูดนิ่ง ๆ เฉย ๆ อีกทั้งยังไม่เห็นมีพิธีรีตองอะไร เราก็เลยนึกว่าไม่มีอะไร…”
และจากการที่ลุงเปล่งไม่ค่อยเข้าใจ และไม่ค่อยเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงปู่นี่เอง ลุงเปล่ง ก็เลยไม่คิดที่จะอธิษฐานขออะไรที่ มันใหญ่โตมาก คือแทนที่ลุงเปล่งจะอธิษฐานขอให้เป็นมหาเศรษฐีระดับโลก มีกินมีใช้เหลือเฟือ จะได้ไม่ต้องทำมาหากินอีกแล้วแต่กับคิดและอธิษฐานขอแค่ว่า ให้ได้ทำงานอยู่บริษัทบอร์เนียวไปจนกว่าบริษัทจะเจ๊งซึ่งนั่นก็หมายถึง ลุงเปล่งอยากจะทำงานไปให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ เนื่องจากบริษัทบอร์เนียวเป็นบริษัทที่มีความมั่นคงสูงมาก แต่แม้บริษัทบอร์เนียวจะมั่นคงขนาดไหน แต่สิ่งที่ไม่มั่นคงก็คือ สถานภาพของลุงเปล่ง เพราะลุงเปล่งทะเลาะกับหัวหน้าที่เป็นฝรั่งทุกวัน ท่านก็เลยกลัวว่า จะโดนไล่ออก เพราะคนที่ทะเลาะกับฝรั่งโดนไล่ออกไปกันหลายคนแล้ว คือ ถูกยื่นซองขาวจนซองขาวข้ามหัวไปข้ามหัวมา ซึ่งลุงเปล่งก็กลัวมากว่า ตัวเองจะต้องเป็นรายต่อไป…
ส่วนคุณป้าที่เป็นภรรยาของลุงเปล่งก็พอกัน.. สมกับเป็นภรรยาของลุงเปล่งจริง ๆ คือ แทนที่จะอธิษฐานขออะไรใหญ่ ๆ โต ๆ ก็อธิษฐานขอแค่ให้มีตึกสักหลัง แถมยังบอกว่า เอาไม่ต้องใหญ่ ขอหลังเล็ก ๆ ที่พอมีบริเวณสนามหญ้านิดหน่อย มีรั้วแค่นี้ก็พอแล้ว และพอลุงเปล่งและภรรยาอธิษฐานเสร็จ หลวงปู่ท่านก็พูดยํ้าเพิ่มความมั่นใจให้อีกว่า “ที่อธิษฐานนี่นะ..สำเร็จทุกอย่าง เอ้า..ให้ตั้งใจรับพร” ซึ่งพอท่านขึ้นยถาฯ ให้พรจนจบ ขณะที่ท่านลุกเดินเข้าโรงงานทำวิชชา ท่านก็ยังหันหน้าไปยํ้าลุงเปล่งอีกว่า “เปล่งเอ๊ย..สิ่งที่เอ็งอธิษฐานน่ะ ..สำเร็จ.!!!..”
แต่ลุงเปล่ง ก็ไมถึงกับเชื่อหลวงปู่ เพราะหลังจากนนั้ ลุงเปล่ง มากราบเรียนหล่วงปู่อยู่เรื่อย ๆ ว่า “หลวงพ่อครับ เขาจะไล่ผมออกแล้วครับ เพราะผมทะเลาะกับฝรั่งหนักขึ้นทุกวัน ทำยังไงดีครับ..?”
และพอหลวงปู่ฟังดังนั้น ท่านก็บอกวา่ “เออ..เดี่ยวข้าจะฝากเขาให้” ซึ่งทันทีที่ลุงเปล่งได้ฟังประโยคนี้ ลุงเปล่งก็ยิ่งงงใหญ่เลยและเพื่อให้หายงง จึงรีบถามหลวงปู่กลับว่า “ เขาไหนครับ ??” แต่ท่านก็นิ่ง ๆ ไม่ยอมตอบอะไร เพราะตอบไปลุงเปล่งก็ไม่รู้เรื่อง
แต่เรื่องมันก็ไม่จบง่ายอย่างนั้นหรอก เพราะวันต่อ ๆ มาลุงเปล่งก็ร้อนรนมากราบเรียนหลวงปู่ใหม่อีกว่า “หลวงพ่อครับ ๆ ซองขาวมันใกล้เข้ามาแล้วนะหลวงพ่อ ผมทะเลาะกับฝรั่งหนักเลย” ซึ่งพอหลวงปู่ได้ยิน ท่านก็บอกอีกว่า “เออ..!! ไม่เป็นไรหรอกข้าฝากเขาไว้แล้ว” ซึ่งการที่หลวงปู่ตอบอย่างนี้ทำให้ลุงเปล่งงงหนักเข้าไปอีกว่า “เขาไหน..?? ใครคือเขา..!!” แต่พอลุงเปล่งพยายามถามหลวงปู่ท่านก็ไมย่อมตอบสักทีก็เลยทำให้ลุงเปล่งนึกถามตัวเองในใจว่า “เขานี่คือพวกอธิบดง..อธิบดี หรือปลัดกระทรง..กระทรวงอะไรรึเปล่า”
ต่อมาจนกระทั้ง หลวงปู่มรณภาพไปแล้ว ลุงเปล่ง ก็ยังไมรู้เลยว่า “เขา” ที่หลวงปู่ว่า คือ ใครแต่ตอนหลังลุงเปล่งมารู้คำเฉลยว่า เขา..คือใคร ก็ตอนที่ได้มากราบพระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโย และคุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง และหลังจากรู้แล้ว ล่งเปล่ง ก็เรียนถามคุณยายอาจารยฯ์ ใหญ่เลยวา่ “แล้วทำไม ตอนนั้นหลวงปู่ท่านไม่บอกละ ??” คุณยายท่านก็ตอบกลับว่ว“ถ้าบอกไปตอนนั้น..คุณก็ไม่เชื่อ..!!!”
ขอย้อนกลับมาเรื่องที่ลุงเปล่งทะเลาะกับฝรั่งต่อ.. เพราะเรื่องนี้มันแปลกมาก อีกทั้งยังน่าอัศจรรย์ใจสุด ๆ คือ หลังจากที่หลวงปู่ฝากเขาไว้แล้ว ไม่ว่าลุงเปล่งจะทะเลาะกับนายฝรั่งมากขนาดไหนก็ไม่โดนไล่ออกสักทีทั้ง ๆ พวกที่ทะเลาะกับฝรั่งน้อยกว่าลุงเปล่ง ตั้งเยอะ กลับถูกยื่นซองขาวให้ออกกันไปหมดแล้ว และสุดท้าย..ก็เป็นไปตามที่ลุงเปล่งอธิษฐานไว้จริง ๆ คือ ได้ทำงานอยู่ที่บริษัทบอร์เนียวนานสมใจอยาก เพราะนานจนกระทั้ง บริษัทบอร์เนียวเปลี่ยนเจ้าของไปจริง ๆ ส่วนคุณป้าที่เป็นภรรยาของลุงเปล่งก็เช่นกัน คือ สุดท้ายก็ได้บ้านตึกหลังเล็ก ๆ มีสนามหญ้าหน่อย ๆ
จริง ๆ อยู่แถวเทเวศร์ ซึ่งคุณป้าก็พูดว่า “หากรู้ว่าหลวงปู่ศักดิ์สิทธิ์ขนาดนี้..รู้งี้ .อธิษฐานขอบ้านให้มันใหญ่ ๆ โต ๆ ไปเลยดีกว่า …”
ส่วนเรื่องทึ่งอีกเรื่องหนึ่ง เกิดขึ้นตอนที่ลุงเปล่งพาภรรยามาถวายภัตตาหารเพลที่วัดปากนํ้า ซึ่งพอเลี้ยงพระเสร็จ หลวงปู่ท่านก็เห็นในที่ของท่านว่า จะมีเหตุร้ายเกิดขึ้นกับภรรยาของลุงเปล่ง ก็เลยทำให้หลวงปู่บอกภรรยาลุงเปล่ง ว่า “เดี๋ยวคอยเดี๋ยว..อย่า เพิ่งไปไหน.!!!”
จากนั้นหลวงปู่ท่านก็หายเข้าไปในโรงงานทำวิชชาประมาณครึ่งชั่วโมง พอออกมา ท่านก็บอกว่า “ต่ออายุให้แล้ว!!!” ซึ่งพอภรรยาลุงเปล่งฟังดังนั้น ท่านก็งง และรำพึงว่า “เอ๊ะ..เราก็แข็งแรงดี ไม่ได้เจ็บได้ป่วยอะไรเลย ทำไมหลวงพ่อมาบอกว่า ต่ออายุให้เรียบร้อยแล้ว!!!” ซึ่งต่อมาหลังจากนั้นเพียงไม่กี่วัน ก็เกิดเรื่องขึ้นจนได้ คือ ภรรยาลุงเปล่งโดนหมาบ้ากัด ทำเอาเกือบตาย แต่ในที่สุด..ก็รอดจึงทำให้ภรรยาลุงเปล่งถึงกับบอกว่า “นี่..ถ้าหลวงปู่ไม่ต่ออายุไว้สงสัยตายไปแล้ว!!!”
..และนี่คือความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงปู่ ที่ลุงเปล่งกับภรรยาได้ประจักษ์กับตัวเอง ซึ่งเป็นเรื่องมหัศจรรย์เหนือความคาดหมาย ทำให้ท่านทั้งสองเกิดอาการคาดไม่ถึงแทบทุกเรื่อง จนท่านทั้งสองชอบพูดเน้น ๆ ยํ้า ๆ อยู่บ่อย ๆ ว่า หลวงพ่อท่าน..ศักดิ์สิทธิ์เกินไป!!!