อยู่ในระหว่างการทดสอบการใช้งาน

ง่ายแต่ลึก

Getting your Trinity Audio player ready...

ตั้งใจหลับตาเจริญสมาธิภาวนากันนะ หลับตาเบา ๆ ค่อนลูก พอสบายๆ คล้าย ๆ กับตอนที่เราใกล้จะหลับ แล้วก็ทำใจของเราให้เบิกบาน แช่มชื่น ให้สะอาด บริสุทธิ์ ผ่องใส หยุดใจไปที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งอยู่ในกลางท้องของเรา ในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ หรือจำง่าย ๆ ว่าอยู่ในกลางท้อง

แล้วก็ตรึกนึกถึงดวงใส หยุดอยู่ในกลางดวงใส ๆ หรือตรึกนึกถึงพระแก้วใส ๆ เอาใจหยุดอยู่ในกลางพระแก้วใส ๆ อย่างใดอย่างหนึ่งในสองอย่าง เราถนัดอย่างไหนก็เอาอย่างนั้น ไม่ต้องเปลี่ยนกลับไปกลับมา เราตรึกเรานึกถึงดวงก็สามารถเห็นองค์พระได้ เรานึกถึงองค์พระก็สามารถเห็นดวงได้ เพราะในดวงก็มีองค์พระ ในองค์พระก็จะมีดวงใส ๆ เพราะฉะนั้นอย่าสับสน เอาเพียงอย่างเดียว แต่ให้นึกอย่างสบาย ๆ ทำใจให้เบิกบาน แช่มชื่น

นี่คือวัตถุประสงค์ของการเกิดมาเป็นมนุษย์ เป็นงานที่แท้จริงของเรา เขาเรียกว่ากรณียกิจ เราคงได้ยินคำนี้บ่อย ๆ คือกิจที่ควรกระทำ คืองานแท้จริง

วัตถุประสงค์ของการเกิดเป็นมนุษย์

งานแท้จริงก็คือ ทำอย่างไรเราถึงจะเข้าถึงพระรัตนตรัยซึ่งมีอยู่แล้วในตัวของเรา พระรัตนตรัยในตัวที่เข้าถึงแล้วจะนำเราให้พ้นจากความทุกข์ทั้งหลายได้ โดยไปขจัดสาเหตุแห่งความทุกข์คือกิเลสอาสวะที่มีอยู่ในตัวของเรา ในใจของเราให้หมดสิ้นไป แล้วใจของเราก็จะได้สะอาด สว่างบริสุทธิ์ หมดจดจากกิเลสทั้งหลาย

หมายเอาพระธรรมกายอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า หน้าตัก ๒๐ วา สูง ๒๐ วา เกตุดอกบัวตูมตั้งอยู่บนจอมกระหม่อมบนพระเศียรของท่าน ที่มีเส้นพระศก หรือเส้นผมขดเวียนเป็นทักษิณาวรรต ตามเข็มนาฬิกา เรียงรายอย่างเป็นระเบียบบนพระเศียรของท่านที่ตั้งอยู่บนพระวรกายของท่าน คือกายที่ประกอบไปด้วยลักษณะมหาบุรุษครบถ้วนทุกประการ ในอิริยาบถเดียว คืออิริยาบถนั่งเจริญสมาธิภาวนา

เราก็ค่อยๆ ประคับประคองใจของเราให้หยุดให้นิ่ง ๆ อย่างสบาย ๆ โดยลืมสิ่งแวดล้อม ภาคบ่ายนี้อากาศจะอ้าวแค่ไหนก็ช่างมัน ต้องฝึกให้ได้ทุกสภาวะอากาศ เพราะเราจะต้องพร้อมเสมอกับทุกสิ่งที่จะบังเกิดขึ้น ซึ่งไม่เลือกกาลเวลา ไม่เลือกสถานที่ ไม่เลือกสภาวะ เราก็จะต้องฝึกให้ได้ ไปหาความเย็นอยู่ภายในกลางกาย โดยลืมความอ้าวภายนอก ด้วยการทำใจให้หยุดนิ่ง ๆ เบา ๆ สบาย ๆ

อย่าไปหวั่นไหวกับความมืดที่มาบดบังใจเรา เพราะความมืดไม่ได้มีตลอดกาลเหมือนทางโลกนั่นแหละ ความมืดในยามราตรี ๑๒ ชั่วโมง แล้วความสว่างก็จะเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นเราจะไม่หวั่นไหว ทำใจหยุดนิ่งเรื่อยไปเลย ไม่ช้าเดี๋ยวความสว่างก็จะมาปรากฏเอง ความมืดก็จะสลายไปเมื่อใจหยุดนิ่ง

วัตถุประสงค์ของการมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อแสวงหาพระรัตนตรัยในตัว ซึ่งเป็นที่รวมความปรารถนาของเราทั้งมวล ตั้งแต่ความสุขที่แท้จริง ความรู้เรื่องราวความเป็นจริงของชีวิต คือ ดวงปัญญา ความรัก และปรารถนาดีต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย ที่เรียกว่า มหากรุณา แล้วก็อานุภาพอันไม่มีประมาณ ที่จะดลบันดาลความปรารถนานั้นให้สมหวังได้ บริสุทธิ์ก็ดี ปัญญาก็ดี มหากรุณาก็ดี หรืออานุภาพอันไม่มีประมาณก็ดี รวมประชุมอยู่ในธรรมกายในตัวนั่นแหละ

 

เพราะฉะนั้น เราต้องหาให้เจอ เมื่อท่านอยู่ตรงศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เราก็ต้องมาหาที่ฐานที่ ๗ โดยการทำใจให้หยุด ให้นิ่ง ๆ เบา ๆ สบาย ๆ จะภาวนา สัมมา อะระหัง ประกอบไปด้วยก็ได้ หรือถ้าเรามั่นใจว่า เราไม่ต้องภาวนาก็ไม่ฟุ้ง ไม่ไปคิดเรื่องอื่น ใจจะตั้งมั่นได้ เราก็ไม่ต้องภาวนา แล้วแต่เราเพราะแต่ละคนไม่เหมือนกัน

จะภาวนาก็ได้ จะไม่ภาวนาก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าจะภาวนาก็ต้องให้เป็นเสียงที่ละเอียดอ่อน ค่อย ๆ ดังออกมาจากกลางท้องของเรา เหมือนมาจากแหล่งแห่งความบริสุทธิ์
แหล่งแห่งอานุภาพที่ไม่มีประมาณ แหล่งแห่งปัญญา แหล่งแห่งมหากรุณา พรั่งพรูออกมาจากตรงนั้น

ภาวนาไปเรื่อย ๆ กี่ครั้งก็ได้ จนกว่าอยากจะอยู่เฉย ๆ หยุดกับนิ่งอย่างเดียว ถ้าเป็นอย่างนี้แล้วเราก็ไม่ต้องหวนกลับมาภาวนาใหม่

สุขทุกข์อยู่ที่ใจเรา มันก็แล้วแต่เราจะหยิบอะไรออกมาใช้ คนฉลาดคนมีปัญญาก็จะเลือกใช้แต่ของดี ๆ ที่จะทำให้ชีวิตสดใสเบิกบานด้วยการระลึกนึกถึงสิ่งที่ดีงาม นึกถึงดวงใส องค์พระใส ภาวนา สัมมา อะระหัง เรื่อยไปเลย

จนกระทั่งพอใจหยุดนิ่ง ตัวก็จะโล่ง ไม่ทึบแล้ว จะโปร่ง จะเบา สบ๊าย สบาย ตัวก็จะขยายออกไป มันขยายของมันไปเอง แล้วก็หายไปเลย กลืนไปกับบรรยากาศ เหมือนเรากับจักรวาลเป็นอันเดียวกันกับบรรยากาศ แล้วใจจะใสบริสุทธิ์ จนกระทั่งเห็นความบริสุทธิ์ผุดขึ้นมาในกลางกาย เป็นดวงใส ๆ มาพร้อมกับความสุข ความรู้เรื่องราวที่เป็นความจริง จะเป็นดวงใส ใจก็จะติดแน่นตั้งมั่น ไม่เขยื้อนเลย มันจะนิ่ง แล้วเราก็ตักตวงความสุขที่เกิดขึ้นจากหยุดกับนิ่งนั่นแหละ ในกลางดวงใส ๆ ดวงที่ใสบริสุทธิ์นั่นแหละคือความบริสุทธิ์ที่ปรากฏให้เราเห็นได้ด้วยใจ เหมือนดวงอาทิตย์ผุดเกิดขึ้นมา ทำให้เราเห็นได้ด้วยตามนุษย์

ต่างแต่ว่าดวงอาทิตย์ผุดขึ้นมา เห็นแล้วเราเคืองตา มองไม่ได้ แต่ดวงใสภายในซึ่งสว่างกว่าดวงอาทิตย์เสียอีก แต่เราดูได้ด้วยใจที่เบิกบาน ไม่เคืองตา ไม่แสบตา มีความสบายใสเย็นอยู่ภายใน แล้วเดี๋ยวใจก็จะค่อย ๆ เคลื่อนเข้าไปถึงพระรัตนตรัยในตัวเอง ไม่ต้องไปทำอะไรเลย

การปฏิบัติธรรม มันต้องง่ายแต่ลึก ต้องทำของยากให้ง่าย แต่แม้ง่ายแต่ว่าลึกซึ้งตรึงใจนั่นแหละถึงจะถูกหลักวิชชา ไม่ใช่ทำของง่ายซะยาก อย่างนั้นไม่ถูกหลักวิชชา

เราสังเกตดูจากคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เมื่อพระองค์แสดงธรรมอบรมสั่งสอนพุทธบริษัททั้ง ๔ พอฟังจบก็บรรลุธรรมาภิสมัยเลย ก็แสดงว่าธรรมที่พระองค์แสดงนั้นมันง่ายแต่ว่าลึกซึ้ง เข้าถึงได้ ไม่ใช่เป็นของยากต่อการเข้าถึง เพราะมันต้องง่ายแต่ลึกซึ้ง เข้าถึงได้ ถึงจะถูกหลักวิชชา

พระพุทธศาสนา คำสอนของผู้รู้แจ้งเห็นแจ้ง

ผู้มีบุญ แม้ว่าจะต่างความเชื่อแต่ก็เจตนาดี ตั้งใจดี ที่จะมุ่งเข้าหาความบริสุทธิ์ อยากจะเข้าถึงความบริสุทธิ์ แหล่งแห่งความบริสุทธิ์ แหล่งแห่งความสุขที่แท้จริง แหล่งแห่งความรู้ที่ไม่มีประมาณ แหล่งแห่งอานุภาพที่ไม่มีขอบเขตจำกัด ต่างก็ปรารถนากันอย่างนั้น แต่ว่าวิธีการไม่เหมือนกัน ผู้รู้แจ้งเห็นแจ้งแทงตลอดในธรรมวิธีการก็จะสมบูรณ์ งามทั้งเบื้องต้น ท่ามกลางและเบื้องปลาย จะต้องสอดคล้องกันด้วยเหตุด้วยผล เหมือนรถหลาย ๆ ผลัด ส่งต่อ ๆ กันจนถึงจุดหมายปลายทางที่ตัวปรารถนา แต่ถ้าหากว่าผู้ที่แนะนำนั้น ความรู้ยังไม่สมบูรณ์ แม้เจตนาจะดีก็ไปไม่ถึงจุดหมายปลายทางที่ตั้งใจไว้ด้วยดี นี่ก็เป็นสิ่งที่เราจะต้องทำความเข้าใจในตอนนี้

ลูกทุกคน ได้มาอยู่ในร่มเงาพระพุทธศาสนา คือคำสอนของท่านผู้รู้แจ้งเห็นแจ้งแทงตลอด ด้วยบุญเก่าของเราที่สั่งสมมาในพระพุทธศาสนา

ศาสนา แปลว่า คำาสอน

พุทธะ คือ ผู้รู้ ผู้รู้แจ้งเห็นแจ้งแทงตลอดในความจริงทั้งหลาย เห็นไปตามความเป็นจริง

พระพุทธศาสนา คือ คำสอนของท่านผู้รู้แจ้งเห็นแจ้งแทงตลอด ถ้ามีพระขึ้นหน้าก็แปลว่า ประเสริฐ มาจากคำว่า วร (วะ-ระ) เมื่อเราเข้าถึงแล้วชีวิตเราก็จะสูงส่งประเสริฐตามท่านผู้ประเสริฐ ที่รู้แจ้งเห็นแจ้งแทงตลอด

พระพุทธเจ้า แปลว่า ราชาแห่งผู้รู้ทั้งหลาย คือ ในบรรดาผู้รู้ทั้งหลาย ท่านเป็นยอด เหมือนต้นไม้ก็มีตั้งแต่ราก โคน ต้น ไปถึงยอดนั่นแหละ ผู้รู้ทั้งหลายกองไว้ตั้งแต่โคนไปถึงปลาย ท่านอยู่ตรงปลายตรงนั้น คือเป็นราชาแห่งผู้รู

ความรู้ของท่านจะครอบคลุมความไม่รู้ทั้งหลายหมดสิ้นไปเลย เหมือนฟ้าที่ครอบโลกและจักรวาล สรรพสิ่งทั้งหลาย ญาณทัสสนะของท่านก็จะครอบสรรพสิ่งและสรรพสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น

เพราะฉะนั้น เราก็จะต้องเข้าถึงผู้รู้ในตัวของเรา เช่นเดียวกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านก็เข้าถึงผู้รู้ของท่าน เจ้าชายสิทธัตถะได้เข้าถึงกายอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า กายผู้รู้ที่มีอยู่ในตัวท่านนั่นแหละ แล้วท่านก็บอกวิธีการที่จะให้เป็นอย่างท่าน ด้วยวิธีการทำอย่างท่าน ทำอย่างท่านมันก็เป็นอย่างท่าน ถ้าไม่ได้ทำอย่างท่าน มันก็ไม่ได้เป็นอย่างท่านก็แค่นี้เอง

ทำอย่างท่านทำอย่างไร ทำใจให้มาหยุดนิ่ง ๆ อยู่ภายในตัวนั่นแหละ ให้ตัวเราเป็นศูนย์กลางของสรรพสัตว์และสรรพสิ่งทั้งหลาย แล้วก็นิ่งอย่างเดียว ไม่ต้องทำอะไรที่นอกเหนือจากนี้ หยุดนิ่งอย่างเบาสบาย เดี๋ยวก็จะเป็นไปตามขั้นตอนที่ได้กล่าวเอาไว้เบื้องต้น

คือ ตัวจะโล่ง โปร่ง เบา สบาย ขยาย ตัวหายไปเลย เดี๋ยวแสงสว่างก็จะเกิดขึ้น เป็นแสงภายใน หลับตาแล้วไม่มืด แล้วจากความสว่างของแสงจะทำให้เห็นแหล่งกำเนิด
เป็นดวงใส ๆ เหมือนดวงอาทิตย์เป็นแหล่งกำเนิดของแสงสว่างทั่วโลกนี่แหละ แต่นี่เป็นแสงสว่างภายใน แล้วเดี๋ยวก็จะเห็นไปตามลำดับ

เห็นดวงศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ เห็นกายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์ พรหม กายอรูปพรหม กายธรรมโคตรภู พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหัต นั่นแหละ ๑๘ กาย ซ้อน ๆ กันอยู่ภายใน

กายในกาย มีสอนอยู่เฉพาะในพระพุทธศาสนา ให้รู้ว่ามีชีวิตอันประเสริฐอีกหลาย ๆ
ระดับ ที่อยู่ภายในซ้อนๆ ละเอียดเข้าไปเรื่อย ๆ เป็นมิติซ้อนมิติ ความละเอียดซ้อนละเอียด กายในกาย กายสุดท้ายกายธรรมอรหัตนั่นแหละคือเป้าหมายของเรา เรามาเกิดเพื่อการนี้ จะสั่งสมบุญบารมีอะไรก็เพื่อให้เข้าถึงกายธรรมอรหัตนี่แหละ

จะให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา จะทำให้ยิ่งขึ้นไป เป็นศีล สมาธิ ปัญญา ก็เพื่อการนี้ ให้เข้าถึงกายธรรมอรหัต หรือจะทำให้ศีล สมาธิ ปัญญา ให้ยิ่งขึ้นไป เขาเรียกว่า อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา ก็เพื่อต้องการให้เข้าถึงกายธรรมอรหัต วัตถุประสงค์ก็มีอย่างนี้แหละ ที่เราจะทำอะไรทั้งหมด ไม่ว่าจะทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขาบารมี ก็เพื่อการนี้

สรุปรวบยอดก็คือ หยุดกับนิ่ง ที่จะให้เข้าไปถึงตรงนั้น จะเกิดมากี่ภพกี่ชาติก็มาเพื่อวัตถุประสงค์ตรงนี้ แต่ถ้าไม่มีผู้รู้บังเกิดขึ้น ก็ไม่มีคำสอนของท่าน เราก็ดำเนินชีวิตไปตามที่เราเข้าใจ ตามรสนิยมของเรา หรือตามคำแนะนำของท่านผู้รู้ที่ยังไม่สมบูรณ์ก็ทำกันไปอย่างนั้น

ถ้าหากว่าผู้รู้ยังไม่เกิดขึ้น เพราะชีวิตนี้มีแต่ทุกข์ ตั้งแต่ทุกข์ประจำตัว กระทั่งทุกข์จรมา ทุกข์ประจำตัวก็ได้แก่ ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความปวด ความเมื่อย ความหิว ความกระหาย ความหนาว ร้อน อ่อน แข็ง อย่างนี้เป็นต้น ยังมีทุกข์ที่จรมาอีก เหมือนแขกมาเยือน ชีวิตมันเป็นอย่างนี้

มนุษย์จึงต้องหาที่พึ่ง เหมือนว่ายน้ำอยู่ในท้องทะเล มหาสมุทร เรี่ยวแรงมนุษย์ก็มีข้อจำกัด แม้คลื่นลมก็สามารถทำให้ตายได้ ยังมีสัตว์น้ำกอะไรอีกสารพัด เพราะฉะนั้นในตอนกำลังจะหมดเรี่ยวแรง ถ้าซากศพลอยมา ทั้ง ๆ ที่ไม่ชอบเพราะมันเหม็นแต่ก็ต้องเกาะพยุงกายเอาไว้ แต่ถ้าหากขอนไม้ลอยมา ผู้มีปัญญาก็ต้องทิ้งซากศพไปเกาะขอนไม้ เพราะว่ามันไม่เหม็น แต่ถ้าหากมีแพลอยมา มันใหญ่มันมั่นคงกว่า ผู้มีปัญญาก็จะทิ้งขอนไม้ขึ้นแพไป แต่แพก็คือการเอาไม้หลาย ๆ อันมาต่อกัน มันก็ยังเสี่ยงภัย ถ้ามีเรือมาที่มันมั่นคงก็ต้องทิ้งแพขึ้นเรือกันไป แต่ถ้าเรือไม้ต่อกันมันก็ป้องกันภัยอันตรายได้ในระดับหนึ่ง ถ้ามีเรือเดินสมุทรที่มันแข็งแรงกว่ามาก็ต้องทิ้งเรือไม้ขึ้นเรือเดินสมุทร

เหมือนชีวิตมนุษย์ในสังสารวัฏ มันมีความทุกข์เป็นพื้นฐานของชีวิต ตั้งแต่เกิดเรื่อยมาเลย ถ้ายามใดยังไม่มีพระรัตนตรัยบังเกิดขึ้น อะไรที่เป็นที่พึ่งได้ก็ต้องคว้าอย่างนั้นไปก่อน เหมือนคนที่ว่ายน้ำในทะเลเจอคลื่นลมแรง ๆ จะหมดเรี่ยวแรง เจอซากศพลอยมา ขอนไม้ แพ เจออะไรก็ต้องเกาะกันไปก่อน

แต่ยามใดพระรัตนตรัยบังเกิดขึ้น เหมือนเรือเดินสมุทรได้บังเกิดขึ้นแล้ว ก็ต้องทิ้งสิ่งที่มันไม่มั่นคงขึ้นเรือเดินสมุทร ก็คือทิ้งสิ่งที่ไม่ใช่สรณะที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริง เข้าไปหาที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริงคือพระรัตนตรัย ซึ่งมีทั้งภายนอกและภายใน โดยเฉพาะภายในนี่แหละ เราสามารถเข้าถึงได้ สัมผัสได้ เพราะอยู่ในตัวของเรา

วิธีการเราก็รู้อยู่ ท่านสถิตอยู่ตรงไหน เราก็รู้อยู่อีก เหลือแต่ความเพียร ความพยายาม แล้วทำให้ถูกหลักวิชชาเท่านั้น ไอ้ที่เข้าไม่ถึงเป็นไม่มีเด็ดขาด ยกเว้นคนตาย คนบ้า คนที่ไม่ได้ทำ แต่คนดีๆ อย่างเรา ถ้าได้ทำมันก็ทำได้ แต่ว่าต้องทำอย่างสม่ำเสมอ มีสติ สบาย สม่ำเสมอ แล้วก็หมั่นสังเกตดูว่า เราทำถูกหลักวิชชาไหม เราก็ปรับปรุงกันไปเรื่อย ๆ สักวันหนึ่งเราก็ต้องสมหวัง

นี่ก็เป็นหลักวิชชาที่เราจะต้องนำเอามาคิดคำนึงเรื่อย ๆ แล้วที่แนะนำอะไรไป ก็ให้ทำอย่างนั้น อย่าไปลองผิดลองถูกเลย มันเสียเวลา เพราะเรามีเวลาอยู่ในโลกนี้อีกไม่นาน ดังนั้นทำให้มันถูกเสีย ไม่ต้องไปเสียเวลาค้น แค่คว้าที่เขาค้นมาแล้ว มันก็จบ ก็คือทำใจหยุดนิ่งเฉย ๆ อยู่ภายใน มีอะไรให้ดูก็ดูไป ดูไปเรื่อย ๆ อย่างสบาย ๆ โดยไม่ต้องคิดอะไรทั้งสิ้นก็แค่นี้เอง ถ้าทำอย่างนี้ได้วันนี้ ก็เข้าถึงวันนี้ ถ้าทำได้พรุ่งนี้ก็เข้าถึงพรุ่งนี้ ถ้าทำได้ชาติหน้าก็เข้าถึงชาติหน้า มันก็แล้วแต่เรา เพราะฉะนั้นต่อจากนี้ไปเมื่อเข้าใจหลักวิชชาแล้ว ก็ฝึกใจหยุดนิ่ง ๆ อย่างสบาย ๆ ทุก ๆ คนนะ

วันอาทิตย์ที่ ๓๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๘

บทความที่เกี่ยวข้อง