อยู่ในระหว่างการทดสอบการใช้งาน

ทำไม..พระของขวัญ (พระผงวัดปากนํ้า) ถึงศักดิ์สิทธิ์ และมีอานุภาพมาก

Getting your Trinity Audio player ready...

ในสมัย ที่หลวงปู่ยังมีชีวิตอยู่ ท่านผลิตพระผงวัดปากนํ้าหรือ พระของขวัญออกมามากถึง 3 รุ่น รุ่นละ 84,000 องค์ ซึ่งรวมทั้ง 3 รุ่น ก็เท่ากับมีจำนวนมากถึง 252,000 องค์ เพราะพระของขวัญหลวงปู่   มีความศักดิ์สิทธิ์มาก มีชื่อเสียงถึงขนาดมีผู้คนจำนวนมหาศาลทั้งในประเทศและต่างประเทศ เดินทางข้ามนํ้าข้ามทะเล ไปรับพระของขวัญของหลวงปู่ที่วัดปากนํ้าด้วยตัวเอง

หลวงปู่ท่านมีดำริให้สร้างพระของขวัญขึ้น เพื่อหาทุนสร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรม ซึ่งท่านจะมอบให้กับญาติโยมที่มีกุศลศรัทธาร่วมบริจาคเงินทำบุญตั้งแต่ 25 บาทขึ้นไป เพื่อไว้เป็นเครื่องตรึกระลึกนึกถึงบุญ ซึ่งพระผงที่สร้างขึ้นนั้น เป็นรูปองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปางประทานพร ด้านหลังจารึกอักษรขอมว่า “ธรรมขันธ์”     และหลวงปู่ตั้งชื่อว่า “พระของขวัญ”

พระของขวัญนี้ เป็นพระผงที่มีส่วนผสมของดอกไม้หอมที่ใช้บูชาพระประจำเช้าเย็น เช่น ดอกมะลิ ดอกบัว เกสรดอกไม้ ซึ่งนำมาตากแห้ง แล้วป่นผสมกับผงแป้ง และที่สำคัญ คือ มีเส้นเกศาของหลวงปู่ผสมอยู่ด้ว ซึ่งหลังจากผสมเสร็จแล้วก็นำมาปั้นเป็นก้อน แล้วอัดเป็นบล็อกออกมา

พระของขวัญนี้… หลวงปู่ท่านจะมอบให้ 1 องค์ ต่อ 1 คนเท่านั้น ไม่ว่าคนนั้นจะทำบุญมากแค่ไหน ก็จะได้แค่องค์เดียว และที่สำคัญยังฝากรับแทนกันไม่ได้ หรือแม้รับไปแล้วถ้าทำหายไป จะมารับใหม่ก็ไม่ได้เหมือนกัน เพราะหลวงปู่บอกว่า “พระของขวัญแต่ละองค์นั้น..มีเจ้าของหมดแล้ว” ซึ่งก็หมายถึงว่า หลวงปู่ท่านคำนวณเอากายละเอียดของผู้ที่ทำบุญกับท่านมา ทั้งในอดีต ปัจจุบัน มาซ้อนในกลางพระของขวัญด้วยวิชชาธรรมกาย แล้วเชื่อมให้ติดกัน (ซึ่งจะเข้าใจเพิ่มขึ้นก็ต่อเมื่อได้มานั่งสมาธิจนเข้าถึงพระธรรมกาย และได้ศึกษาวิชชาธรรมกาย)

การรับพระของขวัญ ต้องรับจากมือหลวงปู่ ถึงจะศักดิ์สิทธิ์ที่สุด เพราะเวลาหลวงปู่มอบให้ท่านจะใช้วิชชาธรรมกายบรรจุพระของขวัญซ้อนติดลงไปในศูนย์กลางกายของผู้รับด้วย และเมื่อบรรจุแล้ว พระนิพพานท่านก็จะซ้อนความศักดิ์สิทธิ์ ผ่านพระของขวัญซึ่งเป็นเสมือนสื่อ ไปยังผู้เป็นเจ้าของพระของขวัญ แล้วจะบันดาลให้ ความปรารถนาของเจ้าของพระสำเร็จได้โดยง่าย

การที่พระของขวัญของหลวงปูศักดิ์สิทธิ์และมีอานุภาพอันไม่มีประมาณได้นั้น เป็นเพราะหลวงปู่วัดปากน้ำท่านกราบทูลพระธรรมกายของพระพุทธเจ้าทั้งหมดว่าจะผลิตของขวัญเอาไว้ให้สำหรับผู้มีบุญ ที่ได้ทำบุญสรา้งโรงเรียนพระปริยัติขึ้นมา โดยหลวงปู่ท่านขออาราธนาพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ ทั้งหมดเลยไม่ว่าจะมีมากน้อยขนาดไหน ทั้งที่เข้านิพพานไปแล้วตั้งแต่ดึกดำบรรพ ์หรือเข้านิพพานไปเก่า ๆ แก่ๆมีธาตุธรรมแก่ ๆ กายใหญ่โตสวยงาม มีอานุภาพมาก มีพลังบุญพลังบารมีมาก โดยไม่ซํ้าธาตุ ซํ้าธรรม ไม่ซํ้าพระพุทธเจ้า คือ พอท่านอาราธนาออกมาชุดหนึ่ง ท่านก็เอาพลังบุญ พลังบารมี รัศมี กำลังฤทธิ์ อำนาจ สิทธิ เฉียบขาด เอาบุญศักดิ์สิทธิ์ มาทำความศักดิ์สิทธิ์ให้บังเกิดขึ้นกับพระของขวัญ โดยทำตลอดต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง ตั้งแต่วันเข้าพรรษา จนถึงวันออกพรรษา

ซึ่งผู้รับพระของขวัญองค์แรก ก็คือ หลวงปู่วัดปากนํ้า โดยท่านต้องทำบุญสร้างโรงเรียนพระปริยัติก่อน เพราะหลวงปู่ท่านถือว่าพระของขวัญนี้เป็นของพระนิพพาน ท่านแค่เป็นผู้ควบคุมดูแลในการผลิต เท่านั้น ดังนั้นก่อนจะรับท่านจึงร่วมทำบุญด้วยตนเอง 25 บาท แล้วรับไว้ 1 องค์ เป็นองค์ปฐม คือ เป็นองค์แรก จากนั้นพระเณรในวัด และเจ้าภาพที่ทำบุญตั้งแต่ 25 บาทขึ้นไป ก็รับเป็นองค์ต่อ ๆ ไป และที่สำคัญ เมื่อมีผู้รับพระของขวัญไปแล้ว หลวงปู่ท่านก็ยังคุมทีมงาน  ทำวิชชาให้ทำความละเอียด ทับทวีความศักดิ์สิทธิ์ให้เกิดขึ้นกับพระของขวัญ อย่างตลอดต่อเนื่อง ตลอดวันตลอดคืน เพื่อให้พระของขวัญศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง ๆ ขึ้นไป คือ เมื่อพระของขวัญไปอยู่กับบุคคลใดแล้ว ก็ให้ไปบันดาล ให้เขาสมความปรารถนา ให้ไปปกปักรักษาชีวิตและทรัพย์สินของเขา เมื่อเวลาเขาจะเดินทางไปเหนือล่องใต้  โดยทางรถ ทางเรือ หรือไปด้วยยวดยานพาหนะอันใด ก็ขอให้เขาอย่ามีเหตุเภทภัย ให้มีปาฏิหาริย์ไม่ซํ้าปาฏิหาริย์…

หลวงปู่ท่าน เคยพูดว่า คนที่ได้พระของขวัญไป จะมีสมบัติติดตัวพันล้าน ซึ่งการที่หลวงปู่ท่านเปรียบเทียบอย่างนี้ เพราะการถวายปัจจัย 25 บาท เพื่อสร้างโรงเรียนพระปริยัติในช่วงนั้นเป็นการทำถูกเนื้อนาบุญคือถูกองค์พระธรรมกาย นับอสงไขยพระองค์ไม่ถ้วน  เพราะได้ทำกับหลวงปู่และพวกที่เข้าถึงพระธรรมกายโดยตรง ดังนั้นแม้จะทำบุญจำนวนน้อย เวลาบุญส่งผลก็จะได้มาก และแม้ทำบุญจำนวนมาก เวลาบุญส่งผล     ก็จะได้มากยิ่งๆขึ้นไปเป็นทับทวี เหมือนบัณฑิตในกาลก่อนที่ได้ถวายทาน แด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์เดียว เวลาบุญส่งผลก็ทำให้เขาได้เป็นถึงพระเจ้าจักรพรรดิ มีสมบัตินับอนันต์ นับภพนับชาติไม่ถ้วนเลยที่เดียว

แม้ในบางครั้ง หลวงปู่ท่านอยากจะให้พระของขวัญแก่ผู้ใดเป็นการส่วนตัว ท่านก็ยังต้องให้ผู้นั้นบริจาคทำบุญสร้าง โรงเรียนพระปริยัติให้แก่วัดเหมือนกัน เพราะท่านถือว่าท่านผลิตพระของขวัญ ออกมาก็เพื่อวัด ไม่ใช่ทำเพื่อส่วนตัว ดังนั้นจึงมอบพระของขวัญให้ผู้ใดไปเปล่า ๆ ไม่ได้

ที่สำคัญ หลวงปู่ยังประกาศไม่ให้ใครนำพระของขวัญออกไปแจกนอกวัด อย่างครั้งหนึ่ง สมเด็จป๋า (พระสังฆราชองค์ที่ 17) พูดกับหลวงปู่ว่า จะขอพระของขวัญจากหลวงปู่ เพื่อเอาติดตัวไปตามหัวเมืองต่าง ๆ และเมื่อใครต้องการ ก็จะให้เป็นของขวัญแก่เขาซึ่งหลวงปู่ก็บอกว่า “ทำอย่างนั้นไม่ได้พระของเรามีคุณภาพจริง ผู้อยากได้ต้องมาเอาเอง ถ้าเอาไปอย่างนั้น ของดีก็กลายเป็นของเก๊ ไม่เป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใส”   และหลวงปู่ยังพูดแถมท้ายอีกว่า  “อย่ากลัวเลย..แปดหมื่นสี่พันองค์ 2 หน ก็ไม่พอแจก” ซึ่งก็เป็นจริงอย่างที่หลวงปู่พูดไว้ไม่มีผิด  ทั้ง ๆ ที่ทางวัดไม่ได้ทำใบปลิวแจ้งข่าวประชาสัมพันธ์อะไรใหญ่โตเลย แต่เมื่อคนที่รับพระของขวัญจากหลวงปู่ไปแล้ว ได้เจออานุภาพและเรื่องราวความมหัศจรรย์อย่างเหลือเชื่อ ก็ทำให้ข่าวความศักดิ์สิทธิ์ของพระ ของขวัญแพร่สะพัดกระจายออกไปอย่างรวดเร็ว จนทำให้มีคนข้ามนํ้าข้ามทะเล เหมารถ เหมาเรือ แห่กันมาจากต่างจังหวัด จากต่างประเทศ เพื่อไปขอรับพระของขวัญกันอย่างเนืองแน่นประดุจวัดปากนํ้ามีงานมหรสพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันวิสาขบูชา มีคนเดินทางไปรับพระของขวัญมากถึง 1,500 คน จนทำให้หลวงปู่ท่านต้องย้ายสถานที่แจกพระของขวัญไปที่อุโบสถ โดยจัดระบบระเบียบในการมอบพระของขวัญใหม่ โดยหลวงปู่ท่านจัดให้มีพระภิกษุคอยจัดคน เข้า – ออกจากอุโบสถคนละประตู คือ ประตูหน้าเป็นทางเข้าไปรับพระ และเมื่อรับแล้วให้ไปออกทางประตูหลัง และแต่ละรอบของการรับพระนั้น หลวงปู่ท่านจะให้คนทยอยเข้ามาเต็มอุโบสถก่อน จากนั้นท่านก็สั่งปิดประตู ซึ่งเมื่อสาธุชนทยอยกันรับไปเรื่อย ๆ จนคนในอุโบสถเริ่มน้อยลงแล้ว หลวงปู่ท่านจึงสั่งให้เปิดประตูรับคนเข้าไปใหม่

ในวันหนึ่ง ๆ หลวงปู่ ท่านจะอธิบายให้ผู้ที่จะรับพระของขวัญได้ทราบถึงวิธีอาราธนา พระของขวัญเป็นร้อย ๆ รอบ ซึ่งแต่ละรอบท่านยังเล่าถึงอานุภาพพระของขวัญ ที่มีคนรับไปแล้วได้ประสบกับตัวเองไว้ดังนี้

“บัดนี้ ท่านทั้งหลายทั้งหญิงและชายได้เสียสละเวลา ให้เป็นส่วนของพระพุทธศาสนาโดยตรง  มาสมทบทุนสร้างโรงเรียนพระปริยัติ ที่ท่านได้เสียสละโลกิย ทรัพย์สร้างโรงเรียนพระปริยัติอย่างนี้ ได้ชื่อว่าทำถาวรวัตถุ ไว้ในพระพุทธศาสนา เรียกว่าเป็นศาสนสมบัติ ให้ศาสนาแล้ว ท่านผู้สร้างสมบัติให้ศาสนานั่นแหละ จักเป็นเหตุที่ตั้งให้มีสมบัติไม่รู้จักสิ้นเสื่อม”

เหตุนี้ ท่านทั้งหลายที่ได้เสียสละทรัพย์ลงไปแล้ว 25 บาท 30 บาท 50 บาท ตามศรัทธาของตนที่สละลงไปนั้น ได้ชื่อว่าทำ ผลถาวรให้แก่เจ้าของทรัพย์นั่นเอง ซึ่งจะได้รับผลต่อไปในภายภาคหน้าที่ฝากไว้ ในพระพุทธศาสนาเช่นนี้ ไม่เสื่อมทรามนับชาติไม่ถ้วนเพราะท่านบริจาคของ ท่านสละทรัพย์ จะส่งผลให้ท่านในมนุษย์ ก็จะส่งผลของมนุษย์ให้ ในทิพย์ก็จะส่งผลที่เป็นทิพย์ให้ ในกามภพนี้จะได้สบสมบัติในภายหน้านับประมาณไม่ได้ เหตุนี้ดังนี้ ท่านทั้งหลายได้เป็นผู้อุปถัมภ์พระศาสนาเช่นนี้

ฝ่ายทางพระศาสนาที่ได้รับสมบัติของท่าน ก็จะมีมีของตอบแทนแก่ท่าน คือ ของศักดิ์สิทธิ์ชนิดหนึ่ง ซึ่งเราทั้งหลายยังไม่เคยพบเคยเห็นว่าศักดิ์สิทธิ์ขนาดนี้ อาจจะเป็นได้จริงหรือคาดคะเนไม่ถูก

ผู้พูดนี้เอง เป็นผู้อาราธนาพระพุทธเจ้าในนิพพานมีธรรมกายมากด้วยกัน ได้ไปอาราธนาพระพุทธเจ้ามานับพระนิพพานไม่ถ้วน   นับอสงไขยก็ไม่ถ้วน มาผลิตของขวัญนี้ให้ปรากฏขึ้นในมนุษย์ ธรรมกายในมนุษย์นี้ก็ได้เข้าสมทบด้วย ดูแลการงานนั้น ๆ ท่านทำอย่างไร ก็ทำไปตามท่าน พระพุทธเจ้าท่านจัดแจงทำทั้งนั้น ตั้งแต่วันเข้าพรรษาจนกระทั่งถึงวันออกพรรษาวินาทีหนึ่งมิได้หยุดเลย ท่านกระทำความศักดิ์สิทธิ์ของท่าน พอออกพรรษาแล้ว พอได้อรุณก็สำเร็จด้วยความประสงค์ของท่านในการผลิตของขวัญ องค์ต้นทรงรับสั่งว่า “ของศักดิ์สิทธิ์ขนาดนี้บังเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในโลก” แล้ว ก็หับพระโอษฐ์ทีเดียวเมื่อ รับสั่งดังนี้แล้ว เราก็คำนวณว่าศักดิ์สิทธ์เพียงแค่ไหนเพียงใด คำนวณไม่ถูก

ผู้พูดนี้ก็ได้ลงมือแจกในวันแรม 6 ค่ำเป็นวันเกิดของผู้พูดนี้ ได้แจกของขวัญออกไป อัศจรรย์ต่าง ๆ ความศักดิ์สิทธิ์ของของขวัญนั้น ผู้ที่ได้รับไปแล้ว นางเขียว บางไผ่ เป็นผู้หญิงอายุ 80 กว่า ได้รับพระเอาไปแล้วเอาไปไว้บนหลังมุ้ง พอคํ่าลงเท่านั้นเปล่งรัศมี สว่างเต็มบ้านเต็มช่อง พากันตกตะลึงเพราะไม่รู้เรื่องอะไรกันทะเลิ่กทะลั่กไปตามกันพักใหญ่นานอยู่ แล้วแสงนั้นก็ค่อยโทรม ลงไป โทรมลงไป ก็มารวมอยู่ที่สว่างหลังมุ้ง นางเขียวก็รู้ว่าพระของขวัญเอาไว้ที่นั่น แสงสว่างนี้ออกจากพระของขวัญนั้นเอง แต่เช้าเชียวมาหาผู้พูดนี้ บอกว่าท่าน เมื่อคืนนี้แสงสว่างเกิดที่บ้านดิฉัน  พระท่านเปล่งรัศมีสว่างเชียว เดิมทีก็ไม่รู้ว่าอะไร แล้วก็มารวมอยู่ที่พระ จึงรู้ว่าพระ รูปร่างนางเขียวเมื่อวันมารับพระของขวัญนั้น มีโรคภัยไข้เจ็บเป็น ประจำอยู่คืนเดียวเท่านั้น เวลามาบอกเช้าร่างกาย เปล่งปลั่งไปหมด แปลกกว่าปกติเดิมทีเดียว ผิวพรรณเกลี้ยงเกลาไปหมด ดูสะอาดสะอ้าน มีผิวพรรณวรรณะ เขารู้สึกว่าของขวัญนี้อัศจรรย์ แปรชั่วเป็นดีได้ขนาดนี้เชียวหนอ เรารู้สึกว่า ศักดิ์สิทธิ์เพียง แค่นี้แลหรือ”

ผู้ที่ได้รับพระของขวัญไปบูชาคล้องติดตัวก็จะได้เจออานุภาพพระของขวัญกันมากมายหลายแบบ ซึ่งบางคนก็เจอพระของขวัญของตัวเองพูดได้ คือ เวลามีเหตุเภทภัย พระของขวัญก็จะเปล่งเสียง เตือนเจ้าของให้ไปทางโน้นทางนี้ จนกระทั่งรอดปลอดภัย หรือวันดี คืนดีวันขึ้น15 ค่ำ อยู ่ๆ พระของขวัญก็แสดงอานุภาพให้เจ้าของเห็น โดยการลอยขึ้น แล้วเปล่งรัศมีเป็นแสงขาวนวลเท่าลูกมะพร้าวลอยออกไป และพอถึงเวลาก็ลอยกลับคืนมา หรือบางคนก็เจออานุภาพ ทำมาค้าขึ้น  รํ่ารวยจนตัวเองแปลกใจ หรือบางคนตกต้นตาลสูง ๆแล้วไม่เป็นอะไรก็มี หรือบางคนประสบอุบัติเหตุเครื่องบินตก คนอื่นตายหมด แต่ตัวเองกลายเป็นคนเดียวที่รอดมาได้อย่างเหลือเชื่อ นอกจากนี้ยังมีบางคนที่ประสบอุบัติเหตุร้ายแรง โดยคนรอบข้างที่ไปด้วยกันเสียชีวิตหมด แต่ตัวเองซึ่งแขวนพระของขวัญติดตัวกลับรอดชีวิตมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทหารที่ออกรบในสมัยสงครามเกาหลี หลวงปู่ท่านเล่าว่า

“ที่เขาเล่าในทางเกาหลี ทหารอังกฤษ อเมริกัน ทหารฝรั่งกำลัง คุยกันอยู่มีทหารไทยอยู่บ้าง ลูกระเบิดทำลายมันตกลงกลางประชุมกำลังคุยกันอยู่นั้น ปึงเดียวเท่านั้นตายหมด เหลือไทยคนเดียวมีของขวัญอยู่ในตัว ฝรั่งให้เหรียญกล้าหาญแก่คนไทยคนนั้นนี่ยังปรากฏอยู่ นี่ความศักดิ์สิทธิ์ทั้งนั้น”

เรื่องอภินิหารและความศักดิ์สิทธิ์ของพระของขวัญนี้ หนังสือพิมพ์บางกอกไทม์ ปีที่ 6 สัปดาห์ที่ 280 วันจันทร์ที่ 23 พฤษภาคมพ.ศ. 2503 ได้เสนอข่าวตีพิมพ์จดหมายของ สิบตรี วาสนาอาคมวัฒนะ แห่งกรมผสมที่ 21 ที่เขียนมาจากเกาหลี ซึ่งได้เล่าถึงอานุภาพความศักดิ์สิทธิ์ ของพระของขวัญ ที่ตนและเพื่อนอีกคนหนึ่ง ได้รับไปจาก พระเดชพระคุณหลวงปู่ ว่า

“กระสุนปืนใหญ่ของข้าศึกยิงถูกคลังกระสุน ไฟไหม้ถังนํ้ามัน จนเกิดเป็นแสงอร่ามไปทั่ว ผู้ที่พักอยู่ในที่นั้นต้องกระจัดกระจายไปปืนและเครื่องเหล็กละลายไปกับกองไฟใหญ่นั้น เพื่อนทหารคนหนึ่งทิ้งห่อพระไว้ ตอนสาย ๆ เพลิงค่อยสงบลง จึงรีบรุดไปยังที่นั่นกัน ก็เห็นพระอันน่าประหลาด ที่ห่อผ้าเช็ดหน้าแขวนเด่นอยู่กับเสาเหล็ก เป็นที่ประหลาดใจแก่ทหารทั้งหลาย เป็นอันมาก เพราะแม้แต่เหล็ก ก็ยังละลาย แต่ผ้าขาวที่ห่อพระไม่ได้ลงเลขยันต์อะไร กับพระอีกองค์หนึ่ง ยังคงอยู่ในสภาพปกติมิได้เสียหายเลยเป็นพระเครื่องวัดปากน้ำภาษีเจริญ ส่วนพระเครื่องของอาจารย์ต่าง ๆ แหลกละเอียด อีกทั้งตนเองนั้นก็รอดตาย จากสมรภูมิหลายต่อหลายครั้ง เนื่องจากมีการยิงขนาดเผาขนกันไม่เว้นแต่ละวัน ก็รอดมีชัยมาได้ทุกครั้ง บางครั้งอยู่ในวิถีปืนที่ยิงมาอย่างหนัก ถ้าไม่มีโอกาสเพ่งศูนย์กลางตัวก็พียงภาวนาดังกล่าว และระลึกถึงอาจารย์ คือหลวงปู่ ก็พอแล้วสามารถคุ้มกันได้และพลอยคุ้มกันเพื่อนฝูงไปได้อีกด้วย”

บทความที่เกี่ยวข้อง