Getting your Trinity Audio player ready...
|
ปู่ผง มีแก้วน้อย
ปูมหลัง: เป็นหนึ่งในอุปัฏฐากใกล้ชิดหลวงปู่วัดปากนํ้า ภาษีเจริญ และมี
ศักดิ์เป็นน้องชายหลวงปู่ เพราะพ่อปู่ผงเป็นโยมน้าของหลวงปู่
ปัจจุบัน: ถึงแก่กรรมเมื่ออายุได้ 90 ปี
น้าองุ่น สุขเจริญ
ปูมหลัง: มีศักดิ์เป็นหลานของหลวงปู่วัดปากนํ้า ภาษีเจริญ เพราะทวดของ
น้าองุ่นเป็นพี่สาวของโยมแม่หลวงปู่
ปัจจุบัน: อายุ 67 ปี อยู่อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี
การตายของมนุษย์ อาจทำให้เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์คนนั้นดับลงไปด้วย แต่ก่อนที่ประวัติศาสตร์จะเลือนรางไปมากกว่านี้ เราจึงตัดสินใจเดินทางไปยังบ้านเกิดของหลวงปู่วัดปากน้ำ เพื่อไปพบกับน้าองุ่นที่ จ.สพุรรณบุรี เพื่อมาสืบค้น ถึงบุคคลในประวัติศาสตร์ แม้ท่านจะจากโลกนี้ไปนานแล้ว ก็ตาม โดยมีน้าองุ่นเป็นคนเล่า และเรื่องที่เล่าก็ไม่ใช่ความลับ แต่เป็นเรื่องที่คนรุ่นหลังไม่รู้ หรือรู้ไม่หมด
ในวันนี้… เรากำลังเปิดเผยให้ท่านรู้เรื่องราวทั้งหมด ประดุจอยู่ในเหตุการณ์ตอนนั้นด้วยกัน
น้าองุ่นเป็นหลานของหลวงปู่ ที่ไปมาหาสู่กับปู่ผงบ่อย ๆ จวบจนวาระสุดท้ายของชีวิตปู่ผง เรื่องที่น้าองุ่นเล่าเป็นเรื่องราวที่ได้พูดคุยกันตามประสาญาติสนิทกับปู่ผง ซึ่งได้ถูกบันทึกไว้ในความทรงจำ ที่ชัดเจนของน้าองุ่น และจะมาถ่ายทอดให้เราได้รับรู้กัน
ปู่ผง เป็นคนสุพรรณบุรีโดยกำเนิด มีอาชีพค้าไม้คํ้าต้นส้ม ปู่ผงจะหอบเอาไม้คํ้าต้นส้มไปขายแถวบางมด พอไปบางมดทีไรก็แวะไปหาหลวงปู่ที่วัดปากนํ้า ซึ่งตอนที่หลวงปู่เริ่มป่วย ญาติ ๆ ของท่านต่างส่งลูก ๆ ของตัวเองไปคอยช่วยอุปัฏฐาก รวมแล้วทั้งหมด6 คน หนึ่งในนั้นก็คือ ปู่ผง ซึ่งเป็นอุปัฏฐากคนสำคัญ ผู้มีศักดิ์เป็นญาติผู้น้องของหลวงปู่ที่ได้อุปัฏฐากรับใช้ใกล้ชิดหลวงปู่ก่อนที่ท่านจะมรณภาพเป็นเวลาถึง 2 ปีเต็ม ปู่ผงเล่าให้น้าองุ่นฟังว่า ได้ไปอุปัฏฐากหลวงปู่วัดปากนํ้า ตอนอายุ 40 กว่า ๆ ตอนนั้นหลวงปู่ อายุประมาณ 70 กว่าปี อุปัฏฐากจนกระทั่งท่านมรณภาพ ช่วงที่หลวงปู่ป่วยท่านไม่เอาใคร หมอที่โรงพยาบาลถามท่านว่า ทำไมไม่เอาพระลูกวัดมาดูแล ท่านบอกไม่เอา เอาน้องชายดีกว่า คนอื่น
ไม่เอา นี่ท่านพูดเอง
ถึงแม้ท่านจะป่วย แต่ท่านตื่นตี 4 เป็นประจำ ปู่ผงก็จะเอานํ้ามาให้ท่านล้างหน้าล้างตา หลวงปู่มีเก้าอี้หวายอยู่ตัวหนึ่ง ท่านนั่งอยู่บนนั้น ปู่ผงก็นั่งอยู่ตรงนั้น คอยจนกว่าอาหารจะมา ประมาณตี 5 กว่า ๆ อาหารมาแล้ว ก็เอามาจัดเตรียม ท่านก็จะฉัน เวลาฉันท่านจะตะล่อมข้าวให้กลมอยู่กลางจาน แล้วตักทีละช้อน ๆ ท่านจะทำให้ข้าวในจานกลมตลอด พอฉันเสร็จท่านก็นั่งรับแขก เมื่อหมดเวลารับแขก ท่านก็ไปทำงานของท่าน คือนั่งวิปัสสนา พอ5โมง ถึงจะออกมาฉันเพล เสร็จแล้วก็รับแขกต่อเลย พอรับแขกเสร็จ ก็ไปทำงานของท่านต่อ
ตอนหลังท่านป่วยมากทำอะไรไม่สะดวก เวลาจับอะไรมือก็จะสั่น เวลาตักข้าวก็สั่นหกหมด ปู่ผงต้องป้อนท่าน ความอดทนของท่านเด็ดขาดเลย ยิ่งช่วงที่ไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลศิริราช นอนอยู่ที่นั่น 6 เดือน ท่านไม่เคยบ่นว่ากูเมื่อยตรงนั้น เมื่อยตรงนี้เลย ไม่เคยบ่นเจ็บปวดอะไรเลย อดทนจริง ๆ แถมขนาดป่วยท่านก็ยังรับแขก แต่ทางโรงพยาบาลให้เข้าเยี่ยมเป็นเวลา ไปกันเยอะแยะเลย หลวงปู่ท่านก็นั่งหลับตาบนเก้าอี้ พวกญาติโยมก็นั่งสมาธิล้อมท่านอยู่ เป็นอย่างนี้ทุกวัน วันพฤหัสบดีจะมากกว่าเพื่อน
ช่วงที่ปู่ผงอุปัฏฐากหลวงปู่อยู่ ช่วงท่านสบาย ๆ ท่านก็ออกมา นั่งเก้าอี้คุยกับปู่ผงว่า “ไอ้ผง..ที่พวกมึงมาพยาบาลกูน่ะ พวกมึงเบื่อกันไหม”
ปู่ผงก็ตอบท่านไปว่า ไม่เบื่อ หลวงปู่ท่านก็พูด ว่า
“ ที่พวกมึงพยาบาลกูน่ะ มึงรู้ไหมว่า มันดีร้อยดีพันแล้วนา ที่มึงปฏิบัติกูเนี่ย.. มึงปฏิบัติพระอื่น 10 องค์ ยังไม่เท่าปฏิบัติกูองค์หนึ่งหรอก”
ตอนนั้น..แม่ชีถนอม ก็นั่งอยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย แม่ชีถนอม เป็นแม่ชีที่เข้าถึงพระธรรมกาย หลวงปู่จึงให้ไปดูว่า ผู้ปฏิบัติหลวงปู่ตายแล้วจะไปไหน แม่ชีถนอมนั่งเข้าที่ดูอยู่พักหนึ่งแล้วตอบว่า “คนปฏิบัติหลวงพ่อต้องขึ้นสวรรค์เจ้าค่ะ..อย่างน้อยก็ดาวดึงส์”
ที่กุฏิของหลวงปู่ท่านไม่มีสมบัติอะไรเลย ไม่มีอะไรเลยจริง ๆ ถ้าเป็นพระอื่นต้องมีบ้าง ความจริงท่านจะซื้ออะไรก็ได้ เงินท่านถมถืดเยอะแยะไป แต่ท่านไม่เอาเลย มีแต่อัฐบริขารและที่นอนที่ท่านใช้ อยู่เท่านั้น อย่างอื่นไม่มีเลย เพราะท่านไม่สะสม มีคนไปทักท่านว่า “โอ้โฮ! หลวงพ่อสร้างตึกอะไรให้พระอยู่ แล้วหลวงพ่อมาอยู่อย่างนี้ทำไมหลวงพ่อไม่สร้างที่อยู่ให้มันดีบ้างล่ะ”
ท่านบอกว่าไม่เอา “เราให้เขามีความสุขก็พอใจแล้ว เราจะอยู่ยังไงก็อยู่ได้ จะกินยังไงก็กินได้ ให้เขามีความสุขก็แล้วกัน เขามาอยู่กับเรา ต้องให้ความสุขแก่เขา อย่าให้เดือดร้อน ให้ได้รับความร่มเย็น โรงเรียนมี ครูมี อยากเรียนก็เรียนเลย ใครอยากบิณฑบาตก็ไป ใครไม่ไป ก็มีข้าวให้”
จากนั้นน้าองุ่นก็เล่าถึงชีวิตส่วนตัวของปู่ผงว่า “ตั้งแต่น้ารู้จักปู่ผงมา น้าก็เห็นชีวิตแกลำบากมาก ตั้งแต่ยังไม่มีครอบครัว หรือตอนมีครอบครัวแล้วก็ลำบาก บ้านที่ปู่ผงอยู่ น้าไม่อยากให้ใครไปเลย เพราะสภาพมันแย่เหลือเกิน เป็นกระต๊อบไม้เก่า ๆ เล็ก ๆ พื้นที่กิน ที่นอน ครัว ทุกสิ่งทุกอย่างใช้พื้นที่เดียวกันหมด ใต้ถุนบ้านก็สกปรก ยงุ ชุมเป็น น้ำ ครำเหม็น ๆ ปู่ผงมีชีวตที่ลำบากยากจนถึงขนาดหลวงปู่ท่านต้องเอ่ยปากให้ปู่ผงทำบุญ
ตรงจุดนี้..ปู่ผงเคยเล่าให้น้าฟังถึง ตอนที่หลวงปู่พูดกับปู่ผงไว้ว่า
“ ไอ้ผง..มึงเอาเงินมาทำบุญสร้างโรงเรียนปริยัติกับกู”
ซึ่งปู่ผงก็ตอบท่านไปว่า
“ทำไมจะต้องมาเอาเงินกับผมด้วยล่ะ หลวงพี่ ก็รู้ว่าผมไม่มี ให้ไปเอากับนายห้างสวัสดิ์หรือคุณนายล้อมสิ เขาก็สร้างให้แล้ว ”
หลวงปู่ก็บอกปู่ผงว่า “ไอ้ผง..ที่มึงยากจนอยู่ทุกวันนี้ เพราะมึงไม่มีสายสมบัติติดตัวมาเลย มันถึงได้ยากจน ถ้ามึงเอาเงินมาทำบุญกับกู 25 บาทเนี่ย เท่ากับมึงจะมีสมบัติพันล้านติดตัวเชียวนะ ภพชาติต่อไปมึงจะไม่จนแบบนี้”
จากนั้นปู่ผงก็เลยไปหาเงินมา 25 บาท มาทำบุญสร้างโรงเรียนปริยัติกับหลวงปู่ และหลวงปู่ก็บอกต่อว่า “ที่มึงทำบุญกับกูน่ะ ถูกพระธรรมกายนับอสงไขยองค์ไม่ถ้วนทีเดียว ต่อไปคำว่าจนไม่ต้องพูดกันล่ะ ต่อไป อีกกี่ภพกี่ชาติก็มีสายสมบัติติดตัวไป จะไม่ยากไม่จนอีก”
พอน้าฟังปู่ผงเล่าเรื่องนี้จบ แล้วได้มารู้ถึงบุพกรรมของแกทีหลังว่า ที่ปู่ผงจนมาก ก็เพราะอดีตชาติแกเคยเกิดเป็นมหาดเล็กที่ไม่ชอบทำทาน และคิดเสียดายทรัพย์ที่พระราชาเอามาบริจาค และมัก คิดในใจกลัวว่า สมบัติพระราชาจะหมด ด้วยกรรมนี้เอง ทำให้ปู่ผงเกิดมาชาตินี้ ทั้งจน ทั้งลำบาก นี่ขนาดแกแค่คิดเสียดายแทนนะแล้วคนที่ห้ามทำบุญกับหลวงปู่ หรือขวางการทำบุญกับท่าน น้าไม่อยากจะนึกเลยว่าชาติหน้าเขาจะลำบากยากจนขนาดไหน
น้าว่าเรื่องนี้มันให้ข้อคิด..เพราะจริง ๆ หลวงปู่ท่านไม่ได้อยากได้เงินของปู่ผงเลยสักนิด เพราะมีคนแห่ไปทำบุญกับท่านเหลือเฟือ และท่านจะช่วยปู่ผง โดยให้เงินปู่ผงไว้ใช้โดยไม่ต้องลำบากก็ยังได้ แต่หากใช้วิธีนี้ ชาติหน้าปู่ผงก็ยังลำบากยากจนอยู่ดี แต่ท่านคิดช่วยปู่ผงโดยบอกให้ปู่ผงทำบุญ ทั้ง ๆ ที่เงิน 25 บาท มันมากสำหรับปู่ผง จริง ๆ แต่ท่านก็ยังให้ปู่ผง ทำ เพื่อไม่ให้ปู่ผงต้องเกิดมาจนอีกชาติหน้า
หลังจากที่ปู่ผงทำบุญกับหลวงปู่ไปแล้ว ท่านได้มอบพระของขวัญให้ปู่ผงองค์หนึ่ง ท่านบอกว่า “ให้เก็บพระของขวัญไว้ให้ดี มึงรู้ไหม ถ้าใครเอาไปบูชาเท่ากับมีสมบัติเป็นพันล้านทีเดียว ถ้าบูชาดี ๆ ก็เท่ากับมีสมบัติจักรพรรดิเลยทีเดียว” ซึ่งปู่ผงก็ได้ทำตามที่หลวงปู่แนะนำและนำพระของขวัญพกติดตัว จนได้พบกับอานุภาพ ในวันที่ขึ้นรถเมล์จากสุพรรณมานครปฐม พอรถเมล์วิ่งมาถึงสามแยก ก็ควํ่าทั้งคัน คนในรถ 11 คน หัวร้างข้างแตก แขนหัก เลือดออก แต่ปู่ผงไม่เป็นอะไรเลย ซึ่งปู่ผงอัศจรรย์ใจมาก อีกหนครั้งที่หลานชายแกขับแท็กซี่ไปชนมา รถพังหมด ใครเห็นก็นึกว่าไม่รอด พอถามว่า.. “มึงรอดมาได้ยังไงวะ” หลานชายก็บอกว่า “เหมือนมีคนจับอุ้มออกไป” ซึ่งในรถมีรูปหลวงปู่วัดปากน้ำแปะอยู่หน้ารถ ทาํ ให้รอดมาได้
ตั้งแต่ปู่ผงรู้จักวัดพระธรรมกาย แกก็ได้ไปวัด แต่ก็ไปไม่ค่อยไหว เพราะชรามากแล้ว ถ้าจะไปต้องให้คนพาไป แต่น้าสังเกตเห็นว่า ปู่ผงปีติดีใจในทุกครั้ง ไม่ว่าวัดจะมีการทำบุญอะไร โดยเฉพาะบุญที่เกี่ยวข้องกับหลวงปู่ น้ายังชวนแกไปวัดพระธรรมกายเลย น้าบอกแกว่า หลวงพ่อธัมมชโยท่านจะสร้างวิหารเอาไว้ประดิษฐานรูปหล่อทองคำของหลวงปู่ ปู่..ไปเอาบุญกันไหม ปู่ผงแกตอบว่า กู..อยากไป แต่กูขี้เยี่ยวลำบาก ที่กูอยากไป
เพราะหลวงพี่เคยบอก กูว่า “ใครทำอะไรให้หลวงพี่ไม่ว่าท่านตายแล้วหรือยังมีชีวิตอยู่ ได้บุญไม่ต้องพูดกันละวะ ”
น้าก็ถามปู่ผงว่า
“ทำไมไม่ต้องพูดล่ะ”
ปู่ผงบอกว่า
“ก็ได้บุญมากน่ะสิ”
น้าก็ถามต่อว่า
“ได้บุญขนาดไหน”
ปู่ผงบอกว่า
“บอกไม่ถูก ประมาณไม่ได้ หลวงพี่ท่านว่า..เป็นไขย ๆกัป ๆ ทีเดียว”
แล้วสุดท้าย น้าก็ถามปู่ผงว่า “ตกลงจะไปแน่หรือเปลา่ ”
ปู่ผงบอกว่า “แน่”
แล้ว ปู่ผงก็ถามว่า “มึงจะมารับกูหรือเปลา่ ”
น้าก็บอกว่า “มา…”
ปู่ผงมักจะพูดเสมอว่า หลวงปู่ท่านเป็นคนจริง ทำอะไรแล้วทำจริง อย่างที่หลวงปู่เคยพูดให้ปู่ผงฟังว่า ถ้าไม่ชนะมาร จะไม่ไปไหน ยอมตายอยู่ที่วัดปากนำ้ ถ้าสู้ไม่ได้ท่านไม่ยอม ถึงตายแล้วเกิดใหม่ ท่านก็ต้องปราบมารให้สิ้นเชื้อ ตอนที่หลวงปู่สู้ กับ มารมันถามหลวงปู่ว่า จะปราบหรือจะโปรด หลวงปู่บอกว่าปราบ มารมันบอกหลวงปู่ว่า มีแต่เขาจะโปรด หลวงปู่เก่งขนาดไหนจะปราบ หลวงปู่บอกปราบอย่างเดียวไม่โปรด
ด้วยความที่เราเป็นลูกหลานแท้ ๆ ของหลวงปู่ สิ่งหนึ่งที่เราห่วงกันมาก ก็คือ กลัววิชชาธรรมกายที่หลวงปู่อุตส่าห์ค้นพบจะไม่มีผู้สืบทอด เรื่องนี้ น้าเคยได้ยินปู่ผงคุยกับปู่ใส (หลานหลวงปู) คุยเรื่องนี้กันเป็นปี ถามกันไปถามกันมาอยู่หลายครั้ง ปู่ใสพูดกับปู่ผงว่า ถ้าหลวงพี่เป็นอะไรไป ก็ห่วงแต่วัดปากนํ้าว่าพระเถรเณรชีจะพากันอดปู่ผงก็ตอบว่า หลวงพี่น่ะ..ไม่ห่วงหรอกวัดปากนํ้า ท่านห่วงวิชชาธรรมกายของท่าน
แต่ในช่วงหลังปู่ผงก็มาบอกปู่ใสว่า ตอนนี้หลวงพี่ท่านไม่ห่วงแล้วนะ
ปู่ใสถามว่า ทำไม
ปู่ผงก็ตอบอีกว่า หลวงพี่ท่านบอกว่าผู้สืบทอดวิชชาน่ะ..เกิดแล้ว
ปู่ใสก็ถามว่า ใช่ญาติเราหรือคนในวงศ์วานของเรารึเปล่า
ปู่ผงก็ตอบวา่ เปล่า ..เป็นคนสิงห์บุรี่!
เรื่องผู้สืบทอดนี้ เป็นเรื่องที่อยู่ในใจน้ามาตลอด จนกระทั่ง น้าได้มีโอกาสมาทราบประวัติหลวงพ่อธัมมชโยจากหนังสือโลกทิพย์เมื่อ 20 กว่าปีก่อนนี้ ว่าท่านเป็นคนสิงห์บุรี แล้วได้ศึกษาวิชชาธรรมกายของหลวงปู่จากคุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง พอน้าและญาติ ๆ อ่านเสร็จ ตอนหลังก็จ้างรถชวนญาติ ๆ หลวงปู่มาวัดพระธรรมกาย มากราบหลวงพ่อธัมมชโยกัน 10 กว่าคน พอเจอท่านเท่านั้นแหละ ป้าละออ หลานสาวแท้ ๆ ของหลวงปู่ท่านก็ปล่อยโฮ ร้องไห้ใหญ่ เลย บอกพวกเรามาถูกทางแลว้ เพราะหลวงปู่ เคยบอกไว้ว่า คนได้ธรรมกายจะสว่างแบบนี้ และนับจากนั้น น้าก็ไปวัดไปสร้างบารมีเรื่อยมา และได้ย้อนกลับไปหาปู่ผงใหม่ให้แกช่วยเล่าเรื่องเกี่ยวกับผู้สืบทอดให้น้าฟังอีก แกบอกว่าเคยถามหลวงปู่เรื่องนี้หลายครั้ง และแกก็ยังยํ้าอีกในครั้งล่าสุดว่า หลวงพี่เคยบอกอีกในช่วงที่อาพาธมาก ๆ ใกล้มรณภาพว่า “คนดีเขามาแล้ว จะมาแทน มาจากทางสิงห์บุรี คนนั้นเขาดี เขามีวิชชาธรรมกายเด่นมาก บุญบารมีของเขามาก เขาจะเผยแผ่วิชชาธรรมกายไปทั่วโลก…”
ต่อมาในบั้นปลายชีวิต ปู่ผงมองไม่เห็น มีอาการเหมือนเป็นตาต้อ จึงได้รับความเมตตาจากหลวงพ่อธัมมชโยให้หมอไปรักษาตาให้ แต่หมอบอกว่าประสาทตาตายหลายปีแล้ว ไม่สามารถรักษาให้หายได้ ต่อมาปู่ผงเสียชีวิตด้วยโรคอัมพฤกษ์ ขณะที่อายุได้ 90 ปี
ยังมีอีกมากที่เกี่ยวกับหลวงปู่และคุณวิเศษของท่าน จะให้เล่าต่อเดี๋ยวจะไม่จบ แต่สิ่งหนึ่งที่น้าอยากจะบอกคือ การที่น้าได้มาเป็น ลูกหลานหลวงปู่แท้ๆ เป็นสิ่งที่ทำให้น้าภูมิใจที่สุด เพราะหลวงปู่ท่านจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ไปจนกว่าจะถึงที่สุด แห่งธรรม น้าจึงได้อธิษฐานตอกยํ้าทุกครั้งขอให้ได้เกิดเป็นสายเลือดเป็นเชื้อสายของท่านอีกทุกภพทุกชาติ และขอให้ได้มาเล่าเรื่องราวของท่าน เรื่องอะไร ที่เกี่ยวกับท่านถ้าน้าไม่รู้ก็ขอให้รู้ที่รู้แล้วก็ขอให้จำได้แม่นยำ เพื่อเอาไว้ถ่ายทอดให้คนรุ่นหลังฟัง
เพื่อช่วยท่านธำรงไว้ซึ่งวิชชาธรรมกายงานใดที่ใครทำไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นงานเล็กงานใหญ่ เมื่อมาถึงมือน้าจะขอเอาชีวิตเป็นเดิมพันทำให้สำเร็จทุกอย่าง และสุดท้ายนี้..ก็ใกล้วันหล่อหลวงปู่ด้วยทองคำเข้ามาทุกวัน ๆ แล้ว อย่าลืมชวนกันไปเอาบุญกับท่านเยอะ ๆ นะ…