Getting your Trinity Audio player ready...
|
ตั้งใจหลับตาเจริญสมาธิภาวนากันนะ อากาศกำลังเหมาะสมในการเข้าถึงธรรม หลับตาเบา ๆ สบาย ๆ ผ่อนคลายทุกส่วนของร่างกาย ขยับเนื้อขยับตัวของเราให้ดี ขยับตัวสบาย ๆ ผ่อนคลายทุกส่วนของร่างกาย อย่าให้มีส่วนใดส่วนหนึ่งเกร็งนะ
แล้วก็ต้องแก้ที่ติดนิสัยเอาลูกนัยน์ตากดลงไปดู เวลาหลับตาแค่ปิดเปลือกตา แล้วก็ช้อนตาเหลือกค้างขึ้นไป จะได้ช่วยแก้ที่กดลูกนัยน์ตาลงไปดูในท้อง
เราไม่จำเป็นเลยที่จะต้องใช้ตาเนื้อ เพราะเวลาแสงสว่างหรือภาพภายในเกิดขึ้น มันไม่เกี่ยวกับลูกนัยน์ตาเลย แล้วเป็นไปไม่ได้ที่ตาเนื้อจะไปเห็นอะไรในท้อง ทุกอย่างสำเร็จด้วยใจ ตาเนื้อก็เหมาะสำหรับมองวัตถุภายนอก ไม่เหมาะสำหรับจะกด
เข้าไปดูภาพภายใน
ให้สังเกตร่างกายของเรา เขาจะบอกเราเองว่ามันไม่ใช่ คือพอคิ้วขมวด มันตึงบริเวณกระบอกตา หน้าผาก เกร็งทั้งเนื้อทั้งตัว นั่งแล้วรู้สึกเวลามันนานเหลือเกิน หรือรู้สึกเบื่อ ท้อ อย่างนี้ไม่ใช่แล้ว อย่าฝืนทำต่อนะ ให้รีบปรับใหม่ เริ่มต้นใหม่อย่างง่าย ๆ เรายอมเสียเวลาเริ่มต้นใหม่บ่อย ๆ ตรงนี้สักนิดหนึ่ง จนกว่าเรา
จะปรับกายและใจเป็น
ถ้าทำเป็นแล้วทุกอย่างก็ไม่ยาก หรือยากไม่มาก มันยากพอสู้ คือถ้าสู้แล้วมันก็ไม่ยาก ถ้าเรารู้หลักวิธีการแล้ว มันอยู่ที่ตรงนี้
เพราะว่าพระธรรมกายก็มีอยู่แล้วในตัวของเรา กายภายในก็มีอยู่ ดวงธรรมก็มี แสงสว่างก็มี แต่ว่าความมืดมันมาบดบังใจเรา ที่เขาเรียกว่า นิวรณ์ แล้วพอเราทำไม่ถูกวิธีไปอีกก็ยิ่งไปกันใหญ่
นิวรณ์ ๕
กามฉันทะ คือ การที่ใจหมกมุ่นเรื่องกามฉันทะ เรื่องเพศ เรื่องทรัพย์ อะไรต่าง ๆ เหล่านั้น ไปผูกพันมันก็ทำให้ใจไปอยู่กับสิ่งนั้น ไม่ได้อยู่ในตัว
พยาบาท คือ ผูกโกรธ ความขุ่นมัว ขัดเคือง
วิจิกิจฉา คือ ความลังเลสงสัยว่า เราจะปฏิบัติได้หรือ คนอื่นเขาปฏิบัติได้จริงหรือ พระรัตนตรัยในตัวมีจริงหรือเปล่า นึกเอาเองมั้ง อะไรต่าง ๆ เหล่านี้ เป็นต้น
ถีนมิทธะ คือ ความหดหู่ เคลิบเคลิ้ม ความท้อ ความง่วง เพราะพักผ่อนน้อยบ้าง หรืออาการเซื่องซึมหลังอาหารเพราะเมาอาหารอย่างนี้เป็นต้น
อุทธัจจกุกกุจจะ คือ ความฟุ้งซ่านรำคาญใจ หมายถึงใจคิดไปในเรื่องราวต่าง ๆ ที่คุ้นเคย เรื่องคนสัตว์สิ่งของ หรือถ้าเป็นวิชาการเขาก็เรียก รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เขาเรียกว่า นิวรณ์ ๕ หรือความมืดที่มาบดบังใจเรา เหมือนดวงตะวันมีอยู่ แต่มีหมู่เมฆดำทะมึนมาบดบังเอาไว้ เราจึงมองไม่เห็นดวงตะวัน ภายในใจของเราก็มีนิวรณ์ ๕ มาบดบังไม่ให้เราเห็นแสงสว่างภายใน ดวงธรรม กายภายใน กระทั่งพระธรรมกาย
แต่ความมืดนี้จะแพ้ใจที่หยุดนิ่ง คือถ้าเราสามารถรวมใจได้ สามารถดึงใจออกมาจากความสับสนวุ่นวาย จากความผูกพันและหมกมุ่นในเรื่องคน สัตว์ สิ่งของ ธุรกิจการงาน ครอบครัว การศึกษาเล่าเรียน
ประการแรก ดึงใจกลับมาอยู่ในตัวก่อน ตรงกลางท้องแถว ๆ บริเวณนั้น ถ้าใครมั่นใจว่าไม่ฟุ้ง ก็อยู่ตรงนั้น โดยไม่ต้องกำหนดนิมิตเป็นภาพ ทำอย่างนั้นก็ได้ แต่ถ้าใครเป็นคนชอบฟุ้ง เราก็กำหนดเป็นภาพแทน เพื่อจะได้เป็นเครื่องหมายว่า ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ อยู่แถว ๆ ท้องตรงนี้ เราจะกำหนดเป็นดวงใส ๆ หรือพระแก้วใส ๆ หรือภาพพระเดชพระคุณหลวงปู่ฯ ของเราก็ได้ อย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นสิ่งแทนพระรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นวัตถุอันเลิศอันบริสุทธิ์สูงส่ง ให้เป็นประดุจหลักของใจ ผูกเอาไว้ให้สติอยู่ตรงนี้
นึกถึงศูนย์กลางกายวันละ ๒ เวลา
ให้เรานึกถึงศูนย์กลางกายบ่อย ๆ จะมีภาพหรือไม่มีภาพก็ไม่เป็นไร ให้ใจเราอยู่ในท้อง ตามการบ้านที่ให้ไว้ในโรงเรียนอนุบาลฯ นั่นแหละ ถ้าทำบ่อย ๆ ใจก็จะคุ้น
เพื่อนต่างศาสนิกอิสลามิกชนที่เคร่งครัด เขายังทำละหมาดวันละ ๕ ครั้ง คือใจระลึกนึกถึงพระผู้เป็นเจ้าที่เขาเคารพสูงสุดถึงวันละ ๕ ครั้ง เขายังทำกันได้ แต่เรานั้นสามารถทำละหมาดได้ตลอดเวลา คือ ทำแค่ ๒ ครั้ง หลับตากับลืมตา หลับตาก็ทำที ลืมตาก็ทำที หรือหายใจเข้าก็ทำที หายใจออกก็ทำที ของเรา ๒ คราว ของเขา ๕ ขอยืมคำว่าละหมาดของเพื่อนต่างศาสนิกมาสมมติใช้ ก็แปลว่าเอาใจของเรามาเก็บไว้ภายในกลางท้อง ผูกพันไว้กับพระรัตนตรัย โดยเริ่มต้นอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ พอใจหยุดจริง ๆ แล้ว ทั้งสามจะรวมที่เดียวกัน เหมือนเราเอาของ ๓ อย่าง ใส่ไว้ในกระเป๋าอย่างนั้นแหละ มันอยู่ที่เดียวกัน
ตอนนี้เราก็นึกทีละอย่าง จะนึกถึงดวงก่อนก็ได้ องค์พระก่อนก็ได้ นึกถึงพระเดชพระคุณหลวงปู่ฯ ก่อนก็ได้ สมมติเรานึกถึงดวง พอใจหยุดจริง ๆ เดี๋ยวก็ได้พระรัตนตรัยทั้งสาม เพราะฉะนั้นเรามาเริ่มต้นทำให้ถูกต้องกันเสียก่อน
ถ้าทำถูกตั้งแต่ต้น ท่ามกลางหรือเบื้องปลายมันก็ง่าย หนทางที่เราจะเดินต่อไปมันก็ไม่ยากแล้ว ยากพอสู้ หลังจากนั้นก็เหลือแต่ทำบ่อย ๆ ซํ้า ๆ ภาษาธรรมะเขาเรียกว่า ภาวิตา พหุลีกตา คือ ทำบ่อย ๆ ทำซํ้า ๆ เรื่อย ๆ เนือง ๆ ก็จะชำนาญขึ้นไปเรื่อย ๆ
เพราะฉะนั้นอันดับแรกเอาใจมาอยู่ก่อน แล้วก็อย่าลืมตัวว่าเราเป็นมนุษย์ธรรมดา ไม่ใช่ผู้วิเศษ เพราะฉะนั้นก็ต้องอาศัยความเพียรพยายามและทำให้ถูกหลักวิชชา มันก็แค่นี้เอง อย่าหลงตัวเองว่าเราเป็นเทวดามาเกิด จะทำเมื่อไรก็ได้ นั่นมันก็หลงตัวเองเกินไป
เพราะฉะนั้นเอาแค่ว่า เราเป็นคนธรรมดาก็จะต้องทำแบบคนธรรมดาที่ยังมีกิเลสหนาปัญญาหยาบ ยังตกเป็นเชลย เป็นบ่าวเป็นทาสของพญามารอยู่เช่นเดียวกับเพื่อนมนุษย์ทั้งหลาย ต่างแต่ว่าเราเป็นเชลยผู้รู้หนทางที่จะหลุดพ้นได้ แล้วก็เริ่มลงมือทำไปทุกวัน อย่าไปท้อ เดี๋ยวก็จะต้องเข้าถึงธรรมสักวันหนึ่ง
เหมือนเรารับประทานข้าว เราอย่าไปท้อว่า โอ ต้องหุงต้องหาต้องตักเข้าปาก แล้วยังต้องเคี้ยวอีก เคี้ยวแล้วยังไม่พอ ยังต้องกลืนอีก เลยท้อไม่ยอมรับประทานต่อไป มันก็ตาย อาหารทางกายยังอย่างนั้น อาหารทางใจก็คล้าย ๆ กัน เพราะฉะนั้นก็ให้มีความเพียร ทำให้สมํ่าเสมอ
ทุกครั้งที่เรานั่งหลับตา แม้มืด เมื่อย ฟุ้ง บุญก็ยังเกิดขึ้นในตัว แม้ไม่มากมันก็ยังมี ก็เท่ากับว่าบุญได้ถูกสั่งสมไปเรื่อย ๆ ทุกวัน จนกระทั่งถึงจุดที่เราประสบความสำเร็จ แปลว่า ทันทีที่เรานั่งหลับตา ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราก็ได้ชื่อว่ากำความสำเร็จที่จะเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวล้านเปอร์เซ็นต์แล้ว ความไม่สำเร็จมีเพียงประการเดียว คือ ไม่ได้ทำ ถ้าได้ทำก็จะค่อย ๆ ทำได้ จะสว่างช้าหรือเร็วไม่สำคัญ สำคัญขอให้เริ่มลงมือทำ ทำให้สมํ่าเสมอ เดี๋ยวเราก็ได้
ที่เราสว่างช้ากว่าคนอื่น หรือหยุดได้ช้ากว่าคนอื่นก็ต้องโทษตัวเรา ชีวิตที่ผ่านมาในภพอดีตโน้น เราไม่ขยันน่ะ เราไม่เห็นความสำคัญในการปฏิบัติธรรม ไม่ให้โอกาสตัวเองในการฝึกใจให้หยุดนิ่ง แต่ให้โอกาสตัวเองไปทำอย่างอื่นที่มันไม่เกิดประโยชน์ ไม่เป็นสาระแก่นสาร
ถ้าอดีตเราสั่งสมการนั่งมามาก ปัจจุบันชาติก็ได้อย่างง่าย ๆ เหมือนเราฝากเงินไว้ในแบงค์มันก็เพิ่มพูนขึ้น แต่ว่าอดีตผ่านไปแล้วก็ช่างมันเถอะ ปัจจุบันนี้ให้เราทำความเพียรให้เต็มที่
เพราะการฝึกใจหยุดนิ่ง จะมีลักษณะพิเศษแตกต่างจากเรื่องอื่น ๆ ตรงที่ว่าเราสามารถหยุดใจนิ่งได้ ถ้าทำถูกหลักวิชชา ให้เร็วก็ได้ จะเร็วขนาดไหนก็ได้แต่อย่างอื่นเราควบคุมไม่ได้ มันไม่อยู่ในอำนาจของเรา แต่ทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยใจ เราฝึกได้ หยุดนิ่งได้
แล้วก็ต้องใจเย็น ๆ ต้องฝึกใจเย็น ๆ ค่อย ๆ ประคองใจไป บางครั้งก็ยอมอนุญาตให้ง่วงบ้าง ฟุ้งบ้างก็ช่างมัน เราก็เฉย ๆ ฟุ้งหยาบก็ลืมตา ง่วงก็หลับ เมื่อยก็ขยับ ก็ปรับกันไปอย่างนี้ วนเวียนกันไป เดี๋ยวมันก็สู้เราไม่ได้ ความมืดในใจก็จะต้องหายไป หมดไปจากเรา หรือล่มสลายจากเราไปสักวันหนึ่ง
วันนี้อากาศกำลังสดชื่น ไม่หนาว แต่ว่ากำลังเย็นสบาย เหมาะในการฝึกใจหยุดนิ่งมาก ให้ทำกันไปเงียบ ๆ นะ
อาทิตย์ที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๘