ตั้งใจหลับตาเจริญสมาธิภาวนากันนะ หลับตาเบา ๆ พอสบาย ๆ ผ่อนคลายทุกส่วนของร่างกายของเราทั้งเนื้อทั้งตัว ให้มีความรู้สึกสบาย ๆ ทำใจให้เบิกบาน แช่มชื่น ให้สะอาดบริสุทธิ์ ผ่องใส ไร้กังวลในทุกสิ่ง ทิ้งทุกอย่าง วางทุกสิ่ง แล้วก็รวมใจไปหยุดนิ่ง ๆ นุ่ม ๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งอยู่ในกลางท้องของเรา ในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ อย่างเบาสบาย
บุญพลังแห่งความสุขและความสําเร็จ
นึกถึงบุญที่เราทำผ่านมานับภพนับชาติไม่ถ้วน จนกระทั่งถึงปัจจุบันชาตินี้ มารวมเป็นดวงบุญใส ๆ กลมรอบตัวเหมือนดวงแก้วใสบริสุทธิ์ ประดุจเพชรที่เจียระไนแล้ว ไม่มีตำหนิเลย ความสว่างอย่างน้อยก็เหมือนดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน แล้วก็สว่างเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ เป็นดวงบุญใส ๆ ติดอยู่ใศูนย์กลาง กายฐานที่ ๗ ของเรา
ในกลางดวงบุญจะเป็นบุญธาตุ ซึ่งเป็นบ่อเกิดแห่งความสุขและความสำเร็จในชีวิตของเรา ตั้งแต่ปุถุชนจนกระทั่งเป็นพระอริยเจ้า บุญธาตุที่กลั่นมาจากการทำความดี ทั้งทาน ศีล ภาวนา เป็นต้น ไม่ว่าจะทางโลกหรือทางธรรมก็ตาม ที่เราได้ให้ วัตถุทาน จนกระทั่งให้วิทยาทาน อภัยทาน ธรรมทานเป็นต้นทุก ๆ บุญเลย ศีลที่เรารักษา ภาวนาที่เราเจริญ คือฝึกใจหยุดนิ่ง กับบุญที่อยู่ในบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ประการ* เช่น ชวนคนมาทำความดี หรือทำความเห็นให้ตรงต่อหนทางพระนิพพาน เป็นต้น
(*บุญกิริยาวัตถุ ๑๐
๑. ทานมัย บุญที่สำเร็จด้วยการบริจาคทาน
๒. สีลมัย บุญที่สำเร็จด้วยการรักษาศีล
๓. ภาวนามัย บุญที่สำเร็จด้วยการเจริญภาวนา
๔. อปจายนมัย บุญที่สำเร็จด้วยการประพฤติอ่อนน้อม
๕. ไวยยาวัจจมัย บุญที่สำเร็จด้วยการขวนขวายช่วยในกิจการที่ชอบ
๖. ปัตติทานมัย บุญที่สำเร็จด้วยการให้ส่วนบุญ
๗. ปัตตานุโมทนามัย บุญที่สำเร็จด้วยการอนุโมทนาส่วนบุญ
๘. ธัมมัสสวนมัย บุญที่สำเร็จด้วยการฟังธรรม
๙. ธัมมเทสนามัย บุญที่สำเร็จด้วยการแสดงธรรม
๑๐. ทิฏฐุชุกรรม บุญที่สำเร็จด้วยการทำความเห็นให้ตรง (เชื่อว่า บาป-บุญมี,นรก-สวรรค์มี, ชาตินี้-ชาติหน้ามี, เชื่อหลักไตรลักษณ์ อนิจจัง-ทุกขัง-อนัตตา) )
บุญนี่แหละ เป็นบ่อเกิดแห่งความสุขและความสำเร็จในชีวิตของเรา จะติดอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ของทุกกายเลย ทั้งกายมนุษย์หยาบ กายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์ กายรูปพรหม กายอรูปพรหม กระทั่งถึงกายธรรม ติดอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ที่มีความใสความบริสุทธิ์ โตใหญ่แตกต่างกันไป ยกตัวอย่าง เช่น
ดวงบุญที่อยู่ในกายมนุษย์หยาบของเรา เวลามาเกิด กาย ละเอียดก็มาพร้อมกับดวงบุญนี้ เมื่อผ่านครรภ์บิดามารดาออกมาเป็นกายมนุษย์ ดวงบุญก็จะปรุงแต่งให้เรามีสมบัติติดมาด้วย
รูปสมบัติ จะมีรูปกายตามกำลังแห่งบุญ ถ้ามีวิบัติเจือกายมนุษย์หยาบก็จะพิการ อย่างนี้เป็นต้น ถ้าได้รูปสมบัติที่ดี ไม่ว่าเป็นชายหรือหญิง ก็จะได้ร่างกายที่สมส่วน แข็งแรง มีโรคน้อย อายุขัยยืนยาว มีวรรณะผ่องใส อายุ วรรณะ สุข พละ รวมประชุมอยู่ในรูปสมบัติ
ทรัพย์สมบัติ ก็ตั้งแต่อาหารหวานคาว เสื้อผ้า ที่อยู่ อาศัย ทรัพย์สินเงินทอง พวกพ้อง บริวาร ยารักษาโรค ลาภ ยศสรรเสริญ เป็นต้น
คุณสมบัติ ก็คือมีดวงปัญญาที่สอนตัวเองได้ มีความรู้ดี ความสามารถดี มีความประพฤติดี เปรื่องปราดแทงตลอดใน ศาสตร์ทั้งปวงทั้งทางโลกและทางธรรม
สมบัติทั้งสามนี้ จะติดมาในดวงบุญกับกายมนุษย์หยาบเป็น ชนกกรรมนำไปเกิดตามกำลังแห่งบุญ ถ้าเราสั่งสมบุญตอนเป็นกายมนุษย์หยาบ บุญก็ติดตรงกลางนั้นเป็นดวงใส ๆ แต่ชนกกรรมนั้นจะค่อย ๆ หมดไป เนื่องจากเป็นบุญเก่า เหมือนพลังอาหารที่จะส่งผลให้เรามีชีวิตอยู่ในโลก ถ้าใช้เพื่อเป็นบุญต่อบุญ สมบัติต่อสมบัติ ก็จะมีดวงบุญดวงใหม่ติดอยู่ในกลางกายซ้อน ๆ กันอยู่
เมื่อกำลังบุญเก่าหมดก็หมดอายุขัย กำลังบุญใหม่ก็ติดอยู่ ในกลางกายส่งต่อไปถึงกายมนุษย์ละเอียด เมื่อเดินออกจากฐาน ต่าง ๆ คำว่า “เดิน” ไม่ได้หมายถึงก้าวเท้าเดินนะ แต่หมายถึง เคลื่อนหลุดออกไปตามฐานต่าง ๆ จากฐานที่ ๗ ไปฐานที่ ๖(ที่ระดับสะดือ) ฐานที่ ๕ (ปากช่องคอ) ฐานที่ ๔ (เพดานปาก) ฐานที่ ๓ (กลางกั๊กศีรษะ) ฐานที่ ๒ (ที่หัวตาหญิงซ้าย ชายขวา) ฐานที่ ๑ (ปากช่องจมูก) หลุดออกไปก็เป็นกายมนุษย์ละเอียด ไปแสวงหาที่เกิดใหม่ เมื่อไปอยู่ในภพภูมิไหนที่เหมาะสมตามกำลังแห่งบุญกายนั้นดับไป ก็จะมีดวงบุญอีกกายหนึ่ง ตามภพภูมินั้นบังเกิดขึ้นแทน
เช่น บังเกิดในเทวโลกจะด้วยวิธีการใดก็ตาม เกิดแล้วโตทันที เรียกว่า โอปปาติกะ ดวงบุญที่อยู่ในกายทิพย์ก็จะเปิดขึ้นใช้ เมื่อใช้แล้วเราก็จะได้กายเป็นทิพย์ มีเครื่องประดับ มีทิพยสมบัติ มีวิมาน พวกพ้อง บริวาร อะไรต่าง ๆ เหล่านั้นเป็นต้น ซึ่งมาจากบุญที่เราสั่งสมมาตอนเป็นกายมนุษย์หยาบ ดวงบุญจะติดอยู่ตรงกลางเป็นดวงใส ๆ
ถ้าจะได้นิพพานสมบัติ บุญนี้ก็ส่งผลไปถึงกายธรรม บุญอยู่ในกลางกายธรรมก็พรึบขึ้นมา ก็จะดูดเห็นจำคิดรู้เราตกศูนย์ไปสู่กายนั้นพรึบ เป็นกายพระอริยเจ้าตามกำลังแห่งบารมี เช่นเป็นพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์เป็นต้น นี่คือ มนุษย์สมบัติ ทิพยสมบัติ และนิพพานสมบัติ
อานิสงส์การเป็นผู้นำบุญ
บุญเกี่ยวกับเรื่องกฐิน ถ้าคิดด้วยตัวเอง มีกุศลศรัทธาด้วยตัวเอง สอนตัวเองได้ บอกตัวเองได้ ชักชวนตัวเองได้ เป็นแหล่งกำเนิดแห่งความคิด คำพูด แล้วก็ทำด้วยตัวเอง กำลังบุญนี้จะแรงกล้ามาก และถ้าไปชวนคนอื่นเขาทำด้วยก็จะมีบุญที่จะเป็นผู้นำไปชวนคนทำความดี มีพวกพ้องบริวาร ที่เราชวนมานั่นก็ตามกำลังบุญ ถ้ามาด้วยความปีติยินดี ปลื้มใจ ดีใจ บุญก็ได้เต็มที่
ถ้าถวายวัตถุทาน จตุปัจจัยไทยธรรม ก็จะมีทรัพย์ไปตามกำลังแห่งบุญ ถ้าประธาน ก็จะได้เป็นผู้นำของชุมชนตามกำลังแห่งบุญ เช่น ถ้าเทียบสมัยนี้กำลังบุญส่งเป็น อบต. บ้าง เป็นผู้ว่า เป็นปลัดกระทรวง เป็นรัฐมนตรี เป็นนายก เป็นพระราชาในแต่ละยุคสมัยบ้าง อะไรต่าง ๆ เหล่านี้ เป็นเพราะผลบุญที่เกิดจากการเป็นผู้นำบุญ ชวนคนทำความดี จะมีพรรค มีพวกมีบริวารสมบัติเกิดขึ้น
ในเทวโลกก็จะมีบริวารมาก มีทิพยสมบัติมาก เป็นเทวดาที่มีศักดิ์ใหญ่ ไปไหนก็จะได้รับความเคารพเลื่อมใส หลีกทางให้ บุญที่เป็นผู้นำที่คิดด้วยตัวเอง แต่ถ้าคนอื่นเขาชวนทำแต่ทำเต็มที่ กำลังบุญก็จะหย่อนมาหน่อย ถ้าจากนายกก็มาเป็นรองนายก อย่างนี้เป็นต้น แต่ที่จะไม่ประสบความสุขความสำเร็จในชีวิตนั้นเป็นไม่มี เพราะสั่งสมบุญกันไปอย่างนี้
โดยเฉพาะบุญกฐินซึ่งเป็นกาลทาน ปีหนึ่งมีครั้งเดียวเป็นการสนับสนุนให้พระที่ออกพรรษาแล้วได้อานิสงส์เต็มที่ ตามพระวินัย เราไปทอดกฐินทำให้พระสมปรารถนา เราก็จะสมปรารถนาด้วย ก็จะมีทรัพย์มาก ได้เกิดในร่มเงาพระพุทธศาสนา แล้วก็มีทุกสิ่งที่ผู้มีบุญในกาลก่อนเขามีกันตามกำลังแห่งบุญ
การได้เกิดในร่มเงาพระพุทธศาสนา
การได้เกิดในร่มเงาพระพุทธศาสนา ก็จะทำให้เราได้ศึกษา เรียนรู้คำสอนจากท่านผู้ที่ฝึกตนพัฒนาตนจนกระทั่งหลุดพ้น จากกิเลสอาสวะ ได้รับความรู้จากผู้ที่หมดกิเลสแล้ว ก็จะทำให้เราได้ความรู้ที่แท้จริง ทำให้การดำเนินชีวิตถูกต้อง ปิดอบายไปสวรรค์ มีสุขในปัจจุบันและก็ได้บรรลุมรรคผลนิพพานตามไปด้วย เพราะทำตามคำสอนของผู้ที่ดำเนินชีวิตถูกต้อง นำใจมาสูงตำแหน่งที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นเวลาจะคิดก็คิดถูกต้อง พูดถูกต้อง ทำถูกต้อง สิ่งที่ถูกต้องดีงามก็จะบังเกิดขึ้นกับตัวเอง
แต่ถ้าไม่ได้เกิดในร่มเงาพระพุทธศาสนาก็จะได้ความรู้ที่ไม่สมบูรณ์ เป็นความรู้ที่ถูกต้องน้อย ผิดพลาดมาก ความผิดพลาดก็จะทำให้ดำเนินชีวิตผิดพลาด ซึ่งก็จะมีอบายภูมิรองรับเป็นสิ่งที่อันตรายอย่างยิ่ง
เพราะฉะนั้น การเกิดในร่มเงาพระพุทธศาสนาถือว่ามีบุญมาก ทีนี้จะเกิดอย่างนี้ได้ก็จะต้องมีสายบุญกับพระพุทธศาสนา เช่น มาบวชหรือทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ในฐานะเป็นคฤหัสถ์ เป็นญาติโยม อย่างนี้เป็นต้น สายบุญนี้ก็จะเชื่อมโยงกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านบังเกิดขึ้นที่ไหนเราก็จะไปเกิดที่นั่น หรือไปเกิดอยู่ในความรู้ของพระองค์ แม้ท่านดับขันธปรินิพพานไปแล้ว แต่พระธรรมคำสั่งสอนของพระองค์ก็ตกทอดมาถึงพระสงฆ์ ซึ่งทรงจำศึกษาเอาไว้ เป็นตัวแทนของท่านก็เป็นประหนึ่งท่านยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ เราก็จะได้ศึกษาเรียนรู้ดำเนินชีวิตได้ถูกต้อง เช่นเดียวกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็แปลว่าเราก็ปิดอบายเปิดประตูสวรรค์ให้กับตัวเอง มีสุขในปัจจุบันแล้วก็จะได้สมบัติ ทั้งสามติดไปทุกภพทุกชาติ ตราบกระทั่งเข้าสู่พระนิพพาน ถ้ามุ่งไปที่สุดแห่งธรรม ก็จะก้าวเดินทางต่อไปถึงที่สุดแห่งธรรม เพราะ ฉะนั้นบุญเป็นเรื่องสำคัญที่เราจะต้องสั่งสม ทำบ่อย ๆ เพราะ เราใช้บุญเก่าหมดเปลืองไปบ่อย ๆ บุญใหม่ก็ต้องสั่งสมบ่อย ๆ
เรามีช่วงโอกาสสั่งสมบุญ เฉพาะตอนเป็นกายมนุษย์หยาบเท่านั้น ซึ่งในยุคนี้ก็เป็นช่วงสั้น ๆ เราไม่ได้มาเกิดในยุคของมนุษย์ที่มีอายุยืนเป็นหมื่นปี หรือหลายหมื่นปี เพราะฉะนั้น ช่วงสั้น ๆ นี่แหละเป็นช่วงสั่งสมบุญ แต่ช่วงเสวยผลบุญนั้นยาวนานตามกำลังแห่งบุญ แต่ถ้าเกิดในยุคที่มนุษย์มีอายุขัยสั้นมันก็มีช่วงสั้นในการสั่งสมบุญ การอยู่ในเทวโลกก็จะสั้นกว่าผู้ที่ได้สั่งสมบุญยาวนานในสมัยกัปไขขึ้นที่มีอายุยืนยาว นี่ก็เป็น เรื่องที่เราโชคดีที่มาเกิดอยู่ในร่มเงาพระพุทธศาสนา ได้ศึกษาเรียนรู้ในสิ่งเหล่านี้ ที่ไม่มีในคำสอนของความเชื่ออื่น ๆ
ดังนั้น การเกิดในร่มเงาพระพุทธศาสนานี้ จึงเป็นบุญลาภและมีความสำคัญกับตัวเราอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นให้ลูกทุกคนนึกถึงบุญที่เราทำผ่านมา ด้วยใจที่ปลื้มปีติยินดี ใจเราจะได้ ใส ๆ บริสุทธิ์ จนกระทั่งความบริสุทธิ์ปรากฏเกิดขึ้นที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เป็นดวงใส ๆ ติดอยู่ในศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
สิ่งที่เราจะต้องทำต่อไปคือ ทำให้ดวงบุญนี่ใสในใสหนักยิ่งขึ้น โดยการหยุดใจในกลางดวงบุญนั้น หยุดในหยุด นิ่งในนิ่งกลางดวงบุญนั้น จากนิ่งหลวม ๆ ก็มานิ่งแน่น คือนิ่งอย่างนั้นจนกระทั่งความคิดอื่นดึงใจเราหลุดไปไม่ได้ ใจของเราก็จะได้ใสบริสุทธิ์ อยู่ตรงกลางกาย ดวงบุญยิ่งใสในใสเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ สมบัติต่าง ๆ รูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ คุณสมบัติ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข มรรคผล นิพพาน ก็จะบังเกิดขึ้นกับเราเร็วขึ้น มีปริมาณมากขึ้น ทั้งปริมาณ คุณภาพ คุณค่า เหมือนผู้มีบุญในกาลก่อนอย่างนั้น ยิ่งใสในใส ใสในใส หนักเพิ่มขึ้นไปอีก ก็ยิ่งมีอานุภาพมากขึ้น โตใหญ่เพิ่มขึ้น ยิ่งหยุดยิ่งนิ่ง ยิ่งขยายดวงบุญ ไม่มีหยุดยั้ง ดวงบุญจะขยายโตขึ้น ใสขึ้น จากดวงเล็ก ๆ ที่ติดที่กลางกายก็โตขึ้นไปเรื่อย ๆ
จะปกครองดูแลตรงไหน ถ้าดวงบุญครอบครองในเขตนั้นก็จะเป็นใหญ่ในเขตนั้น ถ้าดวงบุญโตท่วมประเทศก็จะเป็นใหญ่ในประเทศ ถ้าท่วมโลกก็จะเป็นใหญ่ในโลก ถ้าท่วมไปถึงทวีป ทั้ง ๔ ก็จะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ถ้าเลยโตใหญ่กว่านั้นเข้าไปอีกก็จะเข้าสู่ความเป็นพระอริยเจ้า กระทั่งเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเป็นดวงใส ๆ แล้วก็จะกลั่นลําดับส่วนไปเป็นบารมี
บารมี
เราได้ยินบ่อย ๆ ว่า มีบารมีอย่างนั้นอย่างนี้ แต่คําว่า “บารมี” นี้มีลักษณะอย่างไร เราก็ต้องรู้จัก มันจะอยู่ในกลางดวงบุญ เป็นจุดกึ่งกลาง จากดวงบุญโต ๆ ก็จะกลั่นไปเรื่อย ๆ เช่น ดวงบุญโตเท่าคืบหนึ่ง จะกลั่นไปเป็นดวงบารมี สักปลายนิ้วก้อย และกว่าบารมีทั้ง ๑๐ ทัศ ๓๐ ทัศ จะบริบูรณ์ ก็ต้องสั่งสมเพิ่มพูนไปเรื่อย ๆ จะเป็นชั้น ๆ ไป บารมีก็จะกลั่นต่อไปเป็นรัศมี ลําดับส่วนไปเรื่อย ๆ เป็นกําลัง เป็นฤทธิ์ เป็นอํานาจ เป็นสิทธิ เป็นเฉียบขาด เป็นชั้น ๆ เข้าไป
สิทธิเฉียบขาดก็มีอำนาจเบ็ดเสร็จทุกอย่าง หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ เป็นตัวของตัวเอง ได้อย่างสมบูรณ์ ถ้ายังไม่เต็มที่ก็หย่อนลงมา ถ้าสิทธิเฉียบขาดในเมืองมนุษย์ก็เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ มันจะหย่อน ๆ กันมาอย่างนี้ แต่ทั้งหมดเริ่มจากดวงบุญใส ๆ นี่แหละจ้ะ คือสิ่งที่เราจะต้องศึกษาเรียนรู้กันไป ฝึกฝนกันไปเรื่อย ๆ
เพราะฉะนั้น ภายหลังจากที่เราทำบุญไปแล้วก็ต้องมาตามระลึกนึกถึงแล้วก็ปลื้มใจทุกครั้งว่า เราตัดสินใจถูกแล้วที่เราได้สั่งสมบุญที่ผ่านมา แม้ทรัพย์กว่าจะหามาได้ด้วยความยากลำบาก หรือกว่าจะตั้งกองกฐินกันมาได้มันก็ไม่ใช่ง่าย ต้องเหน็ดเหนื่อยออกเรี่ยวออกแรงอะไรต่าง ๆ เหล่านั้น เราทำได้ใจก็ปลื้ม เวลาทำก็ปลื้มปีติ สุขใจ ดีใจ หลังจากทำแล้วนึกถึงทีไรก็ปลื้ม เราทำถูกหลักวิชชาในแหล่งแห่งเนื้อนาบุญ มองออกว่าตรงไหนเป็นแหล่งแห่งเนื้อนาบุญ ตรงไหนไม่ใช่ แม้จะทำทั่วไปก็จะต้องรู้ว่าบุญหลักควรจะทำที่ใคร บุญรองถัดลงมาควรทำที่ใคร ไม่อย่างนั้นคำว่า ทักขิไณยบุคคลแหล่งแห่งเนื้อนาบุญจะไม่มี
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแทงตลอดในเรื่องเหล่านี้ ในขณะที่มนุษย์ยังมีกิเลสอยู่แทงไม่ตลอด ความรู้จึงยังไม่สมบูรณ์ ก็จะเห็นเฉพาะที่ดวงตาเขาเห็นเท่านั้น ดวงตาภายนอกเห็น แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีดวงตาภายใน ธรรมจักษุ เห็นได้รอบตัวในเวลาเดียวกัน ทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคต เห็นตลอดเส้นทางเกี่ยวกับเรื่องบุญ จะก่อกำเนิดอย่างไร ตั้งอยู่อย่างไร จะส่งผลอย่างไร ถึงจุดหมายปลายทาง
เพราะฉะนั้น พระองค์ก็จะแยกออกว่าบุญนี่ต้องทำควรทำกับใคร กับอะไร ดังนั้นคำว่า “เนื้อนาบุญ” คือ แหล่งแห่งความบริสุทธิ์ พลังบริสุทธิ์อยู่ที่ตรงนั้น ท่านก็จะสั่งสอนด้วยพระมหากรุณา ด้วยความรักและปรารถนาดีต่อสรรพสัตว์ทั้งหลายอย่างแท้จริง ท่านไม่ปรารถนาอะไรเลย
เพราะฉะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าชี้ไปทางไหนว่าตรงนี้ เป็นเนื้อนาบุญ ให้ไปทำตรงนั้นก่อน ส่วนที่อื่นที่ไม่ใช่เนื้อนาบุญก็ทำด้วย จะสงเคราะห์โลกก็ทำด้วย เพราะเราต้องอยู่กับมนุษย์ ต้องเกื้อกูลกัน แต่ต้องรู้ว่าเนื้อนาบุญอยู่ตรงไหน แล้วก็ทำทั้งสองอย่างควบคู่กันไปจึงจะสัมบูรณ์
เพราะฉะนั้น ตอนนี้ก็ให้ลูกทุกคนตรึกนึกถึงบุญว่า เราทำถูกหลักวิชชาแล้ว ทำกับเนื้อนาบุญ ทำกับพระเดชพระคุณหลวงปู่ฯ ทำกับคณะสงฆ์ตามวัดวาอารามต่าง ๆ ซึ่งมีความสำคัญที่เกี่ยวพันกับพระพุทธศาสนา ทำกับวัดที่กำลังจะล่มสลายให้ฟื้นฟูกลับมาใหม่ ที่เราได้สมมติเรียกว่า “กฐินสัมฤทธิ์” เราฟื้นขึ้นมาอีก เหมือนวัดที่กำลังโคม่า เหมือนคนโคม่าปลุกให้ฟื้นคืนมาใหม่ ให้เป็นที่พึ่งกับมนุษย์และเทวดาใหม่ เป็นที่พึ่งแก่นักบวชแก่บรรพชิตใหม่
บุญเหล่านี้มีอานิสงส์ มีอานุภาพอันไม่มีประมาณทั้งสิ้น เทวดาเขามองเห็น เขาชื่นชมอนุโมทนาสาธุการ บัณฑิตนักปราชญ์ที่เป็นผู้รู้มองเห็นก็ชื่นใจ ปีติใจ เราก็นึกถึงบุญอย่างนี้นะ
วันอาทิตย์ที่ ๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๑