Getting your Trinity Audio player ready...
|
เมื่อเราได้บูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ต่อจากนี้ไปตั้งใจให้แน่แน่วมุ่งตรงต่อหนทางพระนิพพานกันทุก ๆ คนนะ ให้นั่งขัดสมาธิโดยเอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ให้นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วางไว้บนหน้าตักพอสบาย ๆ หลับตาของเราเบา ๆ ค่อนลูก พอสบาย ๆ คล้าย ๆ กับตอนที่เราใกล้จะหลับ อย่าบีบเปลือกตา อย่ากดลูกนัยน์ตานะ
แล้วก็ทำใจให้เบิกบาน แช่มชื่น ให้สะอาด บริสุทธิ์ ผ่องใส ไร้กังวลในทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ให้ปลด ปล่อยวาง ทำใจให้ว่าง
คราวนี้เราก็มาสมมติว่า ภายในร่างกายของเรานั้นปราศจากอวัยวะ ไม่มีปอด ตับ ม้าม ไต หัวใจ เป็นต้น สมมติให้เป็นปล่อง เป็นช่อง เป็นโพรง เป็นที่โล่ง ๆ ว่าง ๆ กลวงภายใน คล้าย ๆ ท่อแก้ว ท่อเพชรใส ๆ
คราวนี้เราก็นึกทบทวนสิ่งที่ได้แนะนำเอาไว้เมื่อวันอาทิตย์ว่า ถ้าจิตหยาบให้ตรึก ถ้าจิตละเอียดให้แตะ มีแต่ตรึกกับแตะนะ
ถ้าจิตหยาบให้ “ตรึก”
ตรึก คืออะไร
ตรึก ก็คือการนึกถึงภาพดวงแก้วใส ๆ พระแก้วใส ๆ อย่างสบาย ๆ คล้าย ๆ กับเรานึกถึงสิ่งที่เราคุ้นเคย สมมติเราถนัดนึกถึงดวงแก้วก็นึกดวงแก้ว ถนัดนึกถึงองค์พระก็นึกองค์พระ หรือนอกเหนือจากนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราคุ้นเคย เห็นเจนตา นึกถึงสิ่งนั้นเอาไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ นึกอย่างสบาย ๆ นี่แหละ เรียกว่าตรึก
เพื่อให้ใจของเรามีหลักยึด จะได้ไม่ซัดส่ายไปคิดเรื่องอื่น เพราะใจก็เหมือนกับม้าพยศดิ้นรนที่จะวิ่งไปตามอำเภอใจของตัว เพราะฉะนั้นวิธีปราบม้าพยศวิธีหนึ่งก็คือ ผูกเอาไว้กับหลัก ไปไหนไม่ได้ พอมันเหนื่อยหมดแรง มันก็หมอบอยู่ตรงนั้นแหละ
ใจที่แวบไปแวบมาคิดไปในเรื่องราวต่าง ๆ ก็เหมือนกันเราเอามาผูกไว้กับหลักอย่างสบาย ๆ ผูกไว้ด้วยการนึก จะนึกเป็นภาพก็ได้ ไม่เป็นภาพก็ไม่เป็นไร ถ้าเรามั่นใจว่าไม่นึกเป็นภาพแล้วใจไม่ฟุ้ง แต่สำหรับคนใจฟุ้งต้องมีหลักยึด ควรจะเป็นภาพ แล้วก็มีเสียงประกอบ คือ คำภาวนา สัมมา อะระหัง เรื่อยไป ภาวนาไปจนกว่าใจจะหยุดนิ่ง ซึ่งจะต้องใช้ทุกอิริยาบถ นั่ง นอน ยืน เดิน เป็นต้น แล้วตอนตรึกนี้ต้องให้มีสติ สบาย สม่ำเสมอ เดี๋ยวมันจะหยุดเอง ถูกส่วนไปเอง
ตรึกไว้เรื่อย นั่งตรึก ยืนตรึก เดินตรึก นอนตรึก วิ่ง exercise ออกกำลังกายก็ตรึกไปด้วย ใหม่ ๆ มันก็นึกไม่ออก ก็ทำความรู้สึกว่ามีอยู่ภายใน พอต่อ ๆ ไปก็ค่อย ๆ นึกได้รัว ๆ ราง ๆ
พอตรึกไปเรื่อย ๆ ผูกใจเอาไว้ ทำอย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า หมื่นครั้ง แสนครั้ง ล้านครั้ง ควบคู่กับคำภาวนา สัมมา อะระหัง เรื่อยไป พอใจมันหยุดนิ่งถูกส่วนเข้า มันก็จะทิ้งคำภาวนาไปเอง จะมีอาการเหมือนกับเราลืมคำภาวนา แต่ว่าใจไม่ฟุ้งไปคิดเรื่องอื่น หรือเกิดความรู้สึกว่า ไม่อยากจะภาวนา สัมมา อะระหัง ต่อไป อยากรักษาใจให้หยุดนิ่ง ๆ อยู่ที่ดวงใส ๆ หรือพระแก้วใส ๆ ถ้ามีอาการหรือรู้สึกอย่างนี้ ก็ไม่ต้องย้อนกลับมาภาวนา สัมมา อะระหัง ใหม่ ให้หยุดใจไปที่กลางดวงใส ๆ หรือองค์พระใส ๆ เรื่อยไปเลย
ถ้าจิตละเอียดให้ “แตะ”
ไม่ช้าใจก็จะถูกส่วนไปเอง พอถูกส่วนก็จะตกศูนย์วูบลงไปที่ฐานที่ ๖ ซึ่งอยู่ห่างกันแค่ ๒ นิ้วมือ ในกลางท้องของเราในระดับเดียวกับสะดือ ก็จะไปยกดวงธรรมด้วยใจให้ลอยขึ้นมาที่ฐานที่ ๗ ภาพที่เห็นก็จะเป็นดวงลอยขึ้นมาจากฐานที่ ๖ แล้วก็หยุดนิ่งอยู่ที่ฐานที่ ๗ เป็นดวงใส ๆ ดวงนี้เรียกว่า ดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน หรือ ดวงปฐมมรรค แปลว่า เบื้องต้นที่จะไปสู่อายตนนิพพาน
เมื่อดวงธรรมดวงนี้เกิดขึ้นนั่นแหละ แปลว่าใจเราละเอียดแล้ว นับจากดวงธรรมนี้เป็นต้นไปให้ แตะ ใจเบา ๆ
แค่เราแตะเบา ๆ ดวงธรรมก็จะขยายกว้างออกไปเลย และจะเข้าไปสู่ข้างในตรงจุดกึ่งกลางใส ๆ เล็ก ๆ เท่ากับปลายเข็ม หรือเท่ากับดวงดาวในอากาศ แตะใจเรื่อยไปเลย แตะไปเบา ๆ มันก็เข้าไปเอง จนกระทั่งเห็นกายในกาย องค์พระในองค์พระ เพราะฉะนั้นอย่าไปตรึก ละเอียดให้แตะ จำ ๒ คำเอาไว้นะ หยาบให้ตรึก ละเอียดให้แตะ
เริ่มต้นด้วยความพึงพอใจ ปรับให้สบาย
ทีนี้แม้จะตรึกก็ตาม เราก็ต้องฉลาดในการตรึก ให้สังเกตอย่างนี้ ปกติเราจะทำงานอะไร หรือจะเล่นอะไรก็ตาม จะทำงาน จะเล่นกีฬา หรืออะไรก็แล้วแต่ มันจะต้องเกิดฉันทะขึ้นมาเสียก่อน คือมีความพึงพอใจ มีความสุข สนุกกับการเล่นนั้น
เอาแค่อบายมุข สมมติเราเล่นไพ่ นั่งมันได้ทั้งวันทั้งคืน บางทีห้องนำก็ไม่เข้า ข้าวก็ไม่กิน นั่งเป็นชั่วโมง ๆ เหมือนก้นติดกาวอย่างดีไว้กับพื้นนั่นแหละ มันมีได้มีเสีย มีลุ้นระทึก ได้ก็ลิงโลดใจ เสียก็เสียดายทรัพย์ มีได้มีเสีย สรุปตอนสุดท้ายเสีย แต่เราก็เพลินกับมันนะ มีความพึงพอใจ เพราะว่ามีลุ้น มีได้มีเสีย แต่ตอนสุดท้ายหายนะ เพราะว่ามีลุ้น มีได้ มีเสีย เราเกิดความพึงพอใจจึงไม่เบื่อ
จะเล่นกอล์ฟก็มีความสุขในการเล่น มีลุ้นในการตี นี่สำหรับคนเล่นออกกำลังกายเป็นกีฬานะ ถ้าเป็นการพนันก็มีลุ้น มีได้ มีเสีย มันก็เพลิน เกิดความพึงพอใจ ก็ไม่เบื่อ
ฟุตบอลก็เหมือนกัน ดูบอล มีลุ้น มีได้ มีเสีย สรุปตอนสุดท้ายก็หายนะ พอลุ้นแล้ว มีได้ มีเสีย มันก็ไม่เบื่อ มีความพึงพอใจ สนุก แล้วเป็นสุขกับการได้ดู
นั่งธรรมะคล้าย ๆ อย่างนั้นแหละ แต่ว่าเป็นฝ่ายดี ฝ่ายสว่าง ที่ยกตัวอย่างมานั้นเป็นฝ่ายมืด
สังเกตนะลูกนะ สังเกต ไม่ว่าเราจะวางใจไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เลยทีเดียวก็ได้ หรือวางจากฐานที่ ๑, ๒, ๓, ๔, ๕, ๖ ดูตรงนี้ ไม่ว่าจะนึกเป็นภาพ หรือไม่เป็นภาพก็ตาม
สมมติไม่เป็นภาพ เราวางอารมณ์อย่างนี้ ทำความรู้สึกอย่างนี้ พึงพอใจไหม สังเกตตรงนี้ก่อน พึงพอใจไหม ถ้าพึงพอใจมันก็ไม่เบื่อในการนั่ง จะนั่งไปนานแค่ไหนก็ได้ แม้ไม่เห็นอะไร นั่งไปนานแค่ไหนก็ได้ ไม่เบื่อเลย แถมมีความรู้สึกว่า หมดเวลาเร็วด้วยซ้ำไปอย่างนี้ใช้ได้
หรือถ้านึกเป็นภาพ นึกอย่างนี้แล้วมันไม่กดลูกนัยน์ตา ไม่เพ่ง ไม่จ้อง ไม่บังคับใจ รู้สึกสบาย แม้บางครั้งเห็นชัดบ้าง ไม่ชัดบ้าง นั่งแล้วรู้สึกหน้ายิ้มๆ เบิกบาน มีความพึงพอใจ เวลาจะผ่านไปเท่าไรไม่คำนึงถึง ไม่ห่วงเรื่องอะไรทั้งสิ้นในโลก ไม่ให้ความสำคัญต่อสิ่งใด นอกจากดวงหรือองค์พระ หรือสิ่งที่เราคุ้นเคย มีความยินดีที่จะอยู่กับสิ่งนี้ แค่นี้เท่านั้น รู้สึกสบาย ๆ พึงพอใจตรงนี้แหละที่ทำให้ไม่เบื่อ
นั่งแล้วเบื่อเซ็ง แสดงว่าเริ่มผิดวิธี
ถ้ารู้สึกว่านั่งแล้วไม่เบื่อ อย่างนี้ถูกวิธี ทำเรื่อยไปนะลูกนะ แต่ถ้ารู้สึกเบื่อนั่นแสดงว่าเริ่มผิดวิธีแล้ว เริ่มลุ้น เริ่มเร่ง เริ่มเพ่ง เริ่มจ้อง เริ่มไม่ถูกวิธี ลืมตาเลยนะลูกนะ ลืมตาเลย ลืมตาแล้วหายใจสบาย ๆ ดูโน่น ดูนี่ ดูดวงแก้ว ดูองค์พระ ดูรูปหลวงปู่ รูปคุณยาย ดูทิวทัศน์ ดูอะไรก็แล้วแต่ให้มันหายเบื่อ หายเซ็ง หรือไม่ก็ลุกขึ้นไปเดินล้างหน้าล้างตาให้หายเบื่อหายเซ็ง สดชื่น พอรู้สึกว่าสบายใจ มีอารมณ์อยากนั่ง เอ้า กลับมานั่งใหม่ แล้วก็เริ่มต้นใหม่อย่างง่าย ๆ ตรงนี้สำคัญนะ
วางใจนิ่ง ๆ อย่าให้ลูกนัยน์ตาหนัก นิ้วอย่ากระดก ไหล่อย่ายก ท้องไม่เกร็ง สบาย ไม่คาดหวังอะไรทั้งสิ้น อยากจะวางใจนิ่ง ๆ อย่างเดียว เป็นหนุ่มอารมณ์เดียว สาวอารมณ์เดียว อารมณ์ดี อารมณ์เดียว อารมณ์สบาย ไม่ให้เบื่อเลย ทำอย่างนี้ได้ไหมลูก ต้องทำให้ได้อย่างนี้นะ แล้วเดี๋ยวจะดี เดี๋ยวมืดตื้อมืดมิดเราก็มีสิทธิ์เข้าถึงธรรมได้ ตรงนี้แหละหัวเลี้ยวหัวต่อ จำให้ดีทีเดียวนะ จำแล้วก็ทำให้ได้
ถ้าทำไม่ได้ ลืมตาเลย ดูโน่นดูนี่ ถ้าเบื่อหน่าย เซ็ง เอ้า ลุกขึ้นไป บิดเนื้อบิดตัว บิดเส้นบิดสาย ดูท้องฟ้า ดูทิวทัศน์ แต่อย่าไปดูโทรทัศน์นะ ดูทิวทัศน์ ล้างหน้าล้างตา สดชื่น เอ้า กลับมาใหม่ ถ้านั่งรวมกันก็ดูคนไหนเขานั่งดี แต่ดูท่านั่ง เขานั่งดีนะ อย่าไปดูหน้าดูตา โอ้ คนนี้สวยจัง คนนี้หล่อจัง เดี๋ยวกิเลสมันฟุ้ง นั่งไม่ติด ให้ดูแค่ว่า เออ แหม เขาคงนั่งดีนะ ตัวตรง ตัวตั้ง หลังพิงอากาศ สงบนิ่ง ดูสิเขามีมือ ๒ มือ ๑๐ นิ้ว หันมาดูของเรา ดูแค่มือพอนะ อย่างอื่นไม่ต้องไปดู เรา ๒ มือ ๑๐ นิ้วเหมือนกัน เออ เขาทำได้ เราก็ต้องได้ กลับมานั่งใหม่นะลูกนะ
มานั่งนิ่ง ๆ ให้ใจสบ๊าย สบาย ทำใจให้เบิกบาน ให้แช่มชื่น ให้สมกับเป็นนักเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยาที่เราลดอายุลงมาเป็นนักเรียนอนุบาลอยู่ในช่วงจังหวะชีวิตที่ไม่มีความคิดอะไรเลย ๓ ขวบ ๔ ขวบ ๕ ขวบ ไม่มีความคิดอะไรเลย แล้วนั่งอย่างสบาย ๆ
มีความเพียร ทำถูกวิธี ต้องได้
ธรรมะไม่หนีไปไหน มันอยู่ในตัวนั่นแหละ ทั้งดวง ทั้งกาย ทั้งองค์พระ อยู่ในตัวเรานะลูกนะ ไม่ได้ไปอยู่โลกอื่น ห่างจากปากช่องจมูกถึงศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ แค่ศอกเดียวเท่านั้น เราก็ค่อย ๆ ฝึกไป
ถ้าเราเริ่มต้นด้วยความพึงพอใจ ไม่เบื่อ จากความไม่เบื่อจะนำเข้าไปสู่ความสบาย และสบายยิ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ ใจมันก็นิ่ง ไม่ซัดส่าย เพราะมันสบาย สบายกาย สบายใจ ก็นิ่ง ๆ เฉย ๆ เดี๋ยวก็นิ่งในนิ่ง ๆ นิ่งตรงไหนก็ช่างมัน เรานิ่งไปก่อน เดี๋ยวสบ๊ายสบาย เดี๋ยวจะสนุกกันใหญ่
ความสว่างจะมา มันจะมืดตลอดชาติได้อย่างไร จะมาสู้คนทำความเพียรอย่างถูกวิธีได้อย่างไร มันต้องแพ้เรา เดี๋ยวก็สว่างขึ้นมาเลย อย่าลืมนะ สบ๊าย สบาย จะได้ไม่เบื่อ ให้สบาย นั่งหน้ายิ้ม ๆ
หยาบให้ตรึก ละเอียดให้แตะ แตะเบาๆ แตะแผ่ว ๆ เดี๋ยวใจจะขยาย โอ้ สนุกกันใหญ่ ตัวขยาย ใจขยาย แสงสว่างขยาย ดวงแก้วดวงธรรมขยายใสบริสุทธิ์ องค์พระขยายใสบริสุทธิ์ เดี๋ยวก็เข้ากลางของกลางไปได้เอง อย่างนี้นะ
คืนนี้เช่นเคยเหมือนทุกคืน เราเหนื่อย เราง่วง เราเพลีย นั่งแล้วมันจะตึง ก็ปล่อยให้หลับอยู่ในกลางกาย เมื่อยก็ขยับเบา ๆ ฟุ้งหยาบก็ลืมตา แล้วก็ว่ากันใหม่ ถ้าฟุ้งละเอียดไม่ต้องลืมตานะ ทำเป็นรู้แล้วไม่ชี้ เดี๋ยวความคิดเหล่านั้นก็หนีหายไปหมดเลย คืนนี้ให้ลูกทุกคนสมหวังดังใจในการเข้าถึงพระรัตนตรัยทุก ๆ คน ต่างคนต่างทำกันไปเงียบ ๆ นะ
วันจันทร์ที่ ๒๓ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๕