Getting your Trinity Audio player ready...
|
ในช่วงที่สงครามโลกครั้งที่ 2 กำลังดำเนินไปอย่างดุเดือด กองกำลังทหารญี่ปุ่นได้เข้ามายังประเทศไทย ด้วยเหตุผลที่ว่าต้องการใช้เป็นฐานทัพในการสู้รบ เพื่อบุกยึดประเทศพม่าและอินเดีย โดยใช้ประเทศไทยเป็นเส้นทางคมนาคมในการลำเลียงอาวุธ ไพร่พลและเสบียง ดังนั้นกองกำลังทหารสหรัฐฯ จึงนำเครื่องบินมาทิ้งระเบิดเพื่อบุกโจมตีและตัดเส้นทางการคมนาคมของพวกญี่ปุ่น ตามจุดยุทธศาสตร์ต่าง ๆ เช่น สะพานข้ามกรุงเทพ – ธนบุรี ประตูนํ้าอ่างทอง ประตูนํ้าบางยาง ประตูนํ้าบางนกแขวก รวมทั้งคลองภาษีเจริญ ซึ่ง ใกล้กับวัดปากนํ้า อีกทั้งยังมุ่งทำลายแหล่งผลิตพลังงานไฟฟ้า ที่ใช้ในการสู้รบ ซึ่งก็คือ โรงไฟฟ้าวัดเลียบ ซึ่งในช่วงที่บ้านเมืองกำลังลุกเป็นไฟนี้เอง หลวงปูท่านก็ได้คุมทีมงานทำวิชชาอย่างเอาชีวิตเป็นเดิมพัน คือ ทำกันตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อแก้ไขเหตุการณ์บ้านเมืองเพื่อให้สงครามยุติ ซึ่งหลวงปู่ท่านถึงกับพูดวา่ “จะไม่ยอมหนีไปไหน และ ถ้าวัดปากน้ำ หรือประตูน้ำภาษีเจริญถูกระเบิดลง ก็จะยอมตาย…”
และหลังจากที่หลวงปู่ท่านลั่นวาจาอย่างนี้ ไม่ว่ากองกำลังทหารสหรัฐฯ จะบุกเอาเครื่องบินมาทิ้งระเบิดมากสักเท่าไร ก็พลาดเป้าหมายแทบทุกครั้ง อีกทั้งยังมีชาวบ้านพูดกันอย่างหนาหูว่าวัดปากนํ้าเป็นที่ที่ปลอดภัยจากระเบิดมากที่สุด เพราะหลวงปู่ท่านไม่ยอมให้ระเบิดลงที่นี่หรอก
ด้วยเหตุนี้…จึงทำให้ชาวบ้านและทหารกรมแผนที่….แห่กันมาอพยพหลบภัยที่ตึกขาวในวัดปากนํ้า(ปัจจุบันคือหอเจริญวิปัสสนา) และที่น่าทึ่งไปกว่านั้น..ยังมีผู้คนจำนวนมาก เห็นแม่ชีในลักษณะโปร่งแสงลอยอยู่เหนือน่านฟ้า โดยเอามือไปปัดระเบิด ในขณะที่เครื่องบินรบกำลังมาทิ้งระเบิด จนสร้างความฮือฮาและตะลึง-งง-งันให้แก่ผู้คนเป็นจำนวนมาก จนหนังสือพิมพ์ต้องเอาข่าวนี้มาลง เพราะทึ่งในความมหัศจรรย์นั้น
และที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะหลวงปู่ท่านได้คุมพวกทำวิชชา ให้ทำการปาฏิหาริย์กายขึ้นไปปัดระเบิด อีกทั้งยังใช้วิชชาธรรมกายเนรมิตเมืองเป็นป่าบ้าง..เป็นแม่นํ้าบ้าง และเนรมิตแม่นํ้าให้เป็น บ้าน..เป็นเมืองแทน จนทำให้พวกทหารที่มาทิ้งระเบิดเข้าใจผิด และทิ้งไม่โดนเป้าหมายสักที
ในช่วงนั้น หลวงปู่ท่านเลือกให้ คุณยายอาจารย์มหารัตน-อุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง เป็นหัวหน้าเวรในการทำวิชชากะดึก ซึ่งท่านได้ถามพวกทำวิชชาว่า “เครื่องบินข้าศึกจะมากี่โมง..?” คุณยายอาจารย์ฯ ท่านก็ตอบว่า “ตี 1 เจ้าค่ะ…” และพอถึงตี 1 สัญญาณเตือนภัยระเบิดก็ดังจริง ๆ ตรงนี้..เป็นความน่าอัศจรรย์ ของวิชชาธรรมกายแบบสุด ๆ เพราะทหารอเมริกันก็ไม่ได้มาบอกอะไรคุณยายอาจารย์ฯ ถึง แผนการในการทิ้ง ระเบิดเลย แต่คุณยายอาจารยฯ์กลับรู้เวลาในการทิ้งระเบิดที่แน่นอน !!
และในขณะที่สงครามกำลังดุเดือดอยู่นั้น หลวงปู่ท่านก็ถามคุณยายว่า “เยอรมันแพ้หรือชนะวะ..?” ซึ่งคุณยายอาจารย์ฯ ท่านก็ดูในที่แล้วตอบว่า “แพ้เจ้าค่ะ” และสุดท้าย..เยอรมันก็แพ้สงคราม จริง ๆ ในวันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2488 ซึ่งตรงนี้ก็แปลกอีก..เพราะขณะที่เกิดการสู้รบหํ้าหั่นกันอย่างดุเดือด ก็ไม่มีใครรู้หรอกว่า ฝ่ายใดจะชนะ แต่คุณยายอาจารย์ฯ ก็สามารถรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าว่า เยอรมันจะต้องแพ้แน่ ๆ
ก่อนที่หลวงปู่ท่านจะถามคำถามพวกที่ทำวิชชานั้น หลวงปู่ท่านจะเห็นและรู้คำตอบอย่างแจ่มแจ้ง ในสิ่งนั้นอยู่ก่อน แล้วแต่เนื่องจากท่านต้องการตรวจสอบญาณทัสสนะลูกศิษย์ อีกทั้งยังเป็นการปรับให้ญาณทัสสนะของทุกคนให้ตรงกัน…
จากนั้นหลวงปู่ท่านก็ค้นต่อจนเห็นในที่ว่ามีระเบิดประหลาดที่ไม่เคยมีมาก่อน อีกทั้งยังแตกต่างกับระเบิดลูกอื่นที่ใช้ในสงครามซึ่งก็คือ ระเบิดปรมาณู จึงทำให้หลวงปู่ถ่ามคุณยายอาจารยฯ์ วา่ “ถ้าลูกนี้มันลงจะเป็นยังไงวะ..??”
ซึ่งคุณยายอาจารย์ฯ ท่านก็เข้าที่แล้วตอบว่า “ถ้าลงที่เมืองไทยก็จะราบเป็นหน้ากลอง ไม่เหลืออะไรเลยเจ้าค่ะ..!!!” พอถึงตรงนี้ ก็ยิ่งทำให้รู้สึกประหลาดใจหนักเข้าไปอีกว่า หลวงปู่กับคุณยาย-อาจารย์ฯ และพวกที่ทำวิชชารู้เรื่องระเบิดนี้ได้อย่างไร ในเมื่อสหรัฐอเมริกาเร่งทำโครงการพัฒนาระเบิดปรมาณูอย่างลับๆ เพื่อไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามรู้ อีกทั้งระเบิดปรมาณูลูกแรกก็ยังไม่เคยทดลองทิ้งที่ใดเลย แต่ด้วยอานุภาพของวิชชาธรรมกาย กลับทำให้สามารถเห็นถึงอำนาจการทำลายล้างอันมหาศาล ของระเบิดปรมาณูได้อย่างเหลือเชื่อ ทั้ง ๆ ที่ยังไม่เกิดการระเบิดขึ้น..!!!
ภายหลังจากที่เยอรมันประกาศแพ้สงครามแล้ว สหรัฐฯ ก็คิดระเบิดปรมาณูได้สำเร็จในเวลาต่อมา ซึ่งในช่วงนั้น..เป็นช่วงที่ญี่ปุ่นก็ตกอยู่ในสภาพยํ่าแย่ และกำลังจะแพ้สงครามอยู่แล้ว ถ้าสหรัฐฯ ไม่เอาระเบิดปรมาณูไปทิ้งที่ญี่ป่นุ ญี่ปุ่นก็ต้องแพ้สงครามอยู่ดี แต่อยู่ ๆ ทางสหรัฐฯ เกิดอะเลิร์ตอะไรก็ไม่ทราบ คือ พอคิดระเบิดปรมาณูเสร็จ แทนที่จะเก็บไว้เฉย ๆ ก็คิดอยากจะเอาไปทดลอง โดยเลือกเป้าหมายในการทิ้งระเบิดไว้เกือบ 20 แห่ง แต่สุดท้ายก็ตัดตัวเลือกออกจนเหลืออยู่ 2 แห่ง คือ เมืองฮิโรชิม่ากับนางาซากิ จนเป็นเหตุให้มีคนตายทันทีมากถึง 880,000 คน และตายในเวลาต่อมามากกว่า 2 ล้านคน
ตรงจุดนี้..แสดงว่าต้องมีบางสิ่งที่สอดละเอียดทำให้มนุษย์เหล่านั้น..เกิดอะเลิรต์ คิดเช่นนี้ !!!ซึ่ง ตลอดเวลาที่หลวงปู่ท่านคุมทีมงานทำวิชชา เพื่อให้สงครามยุติ ท่านจะสั่งพวกที่ทำวิชชาให้สาวไปถึงต้นตอ หรือแหล่งที่มาของความคิดว่า ใคร..เป็นผู้ทำให้มนุษย์คดิ สู้รบกัน.?? โดยท่านจะถามว่า “ใครสอดมาวะ..??” จากนั้นทีมงานทำวิชชาของท่านก็เข้าที่ไปดูว่า ใครเป็นผู้สอดละเอียดมา โดยไปดูว่า..ต้นตอของกระแสที่สั่งใจนั้นมาจากไหน.. ซึ่งเมื่อไปพบต้นเหตุแล้ว หลวงปู่ท่านก็ไปดับที่นั่น คือ ต้องไปดับที่ต้นเหตุหรือแหล่งผลิตกระแสที่ทำให้มนุษย์คิดรบราฆ่าฟันกัน ซึ่งพอเหตุดับปุ๊บ..ผลก็ไม่เกิด สุดท้ายมนุษย์ก็จะเลิกรบราฆ่าฟันกัน
แต่เนื่องจากตอนนั้น..อยู่ในช่วงที่หลวงปู่กำลังรวบรวมพวกทำวิชชาอยู่ คือ ทีมงานทำวิชชายังมีอยู่น้อย หรือมีปริมาณไม่มากพอที่จะทำวิชชาให้ชนะเขา ก็เลยทำให้การทำวิชชาแก้ไขเรื่องภัยสงคราม ทำไปได้แค่ระดับหนึ่งเท่านั้น…