Getting your Trinity Audio player ready...
|
(เมื่อเราได้สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ต่อจากนี้ไปตั้งใจเจริญสมาธิภาวนากันนะ………)
คราวนี้เรามานึกทบทวนคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสไว้ว่า
“ชีวิตเป็นของน้อย”
หมายถึง เรามีเวลาที่จะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ด้วยกายมนุษย์หยาบจำกัด ไม่มากเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคนี้ เป็นยุคที่อายุมนุษย์ไขลง เราอยู่ในช่วงอายุเฉลี่ยของมนุษย์ ๗๕ ปี จะเกินไปกว่านี้ก็มีไม่กี่ท่าน ที่จะมีอายุยืนยาวไปถึง ๘๐, ๙๐ กระทั่ง ๑๐๐ ปี หรือร้อยกว่าปี มีจำนวนไม่มาก แต่โดยเฉลี่ยแล้ว ๗๕ ปี และยิ่งมีโรคภัยไข้เจ็บ มีมลภาวะเป็นพิษเกิดขึ้นจากคนเสื่อมศีลธรรม หรือความเจริญของเทคโนโลยี ชีวิตมนุษย์ก็ยิ่งสั้นลง บางท่านก็อยู่ไม่ถึง ๗๕ ปี ด้วยซ้ำไป
ถ้าสมมติว่า ๗๕ ปี มาเทียบกับที่เรามีชีวิตอยู่เดี๋ยวนี้ ก็เหลือเวลาอีกเพียงไม่นานเท่าไร ถ้าเราอยู่ไปถึง ๗๕ ปี บางคนก็เหลือแค่ ๑ ปี บางคนก็หลายปี บางคนเป็น ๑๐ ปี บางคน๒๐ ปี หรือมากกว่านั้น นี่หมายถึงในกรณีเหตุการณ์ปกติที่ไม่มีอุบัติเหตุ หรือโรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียน
สรุปง่าย ๆ ว่า ชีวิตเป็นของน้อย เราจะอยู่ถึงอายุขัยเฉลี่ยมนุษย์หรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นอย่าได้ประมาทในการดำรงชีวิต
เราจะต้องมาดูว่า เป้าหมายชีวิตที่เกิดมานั้น เกิดมาเพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง เมื่อทำพระนิพพานแจ้งแล้วก็จะได้พ้นทุกข์ เพราะพื้นฐานชีวิตมนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลายก็คือความทุกข์ ทั้งทุกข์ประจำ และทุกข์จร
ความเกิดเป็นทุกข์ ความแก่ ความเจ็บ ความตายเป็นทุกข์ ทุกข์จากการพลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รัก ประสบในสิ่งที่ไม่เป็นที่รัก หรือปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์ มีความโศกเศร้าเสียใจ คับแค้นใจ ร่ำพิไรรำพัน ถ้าสมัยใหม่ก็ เซ็ง เครียด เบื่อ กลุ้ม เป็นต้น
ทุกชีวิตไม่ว่าจะเป็นเศรษฐี ชนชั้นกลาง หรือชั้นล่าง ล้วนแต่มีทุกข์ประจำและทุกข์จรทั้งสิ้น เศรษฐีแม้มีทรัพย์มาก มีพวกพ้องบริวารมาก ๆ มีลาภยศสรรเสริญมากก็ตาม ก็ยังมีทุกข์ประจำสังขารอยู่ คือ ความแก่ ความชรา ความเจ็บไข้ได้ป่วย แม้กระทั่งความตาย หรือทุกข์จร คือ ความโศกเศร้า พิไรรำพัน ความพลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รัก จะเป็นคนรัก ของรัก หรืออารมณ์ที่เป็นที่รักก็ตาม ก็ต้องเจอ ต้องพลัดพราก หรือปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้น มีทรัพย์มากอยากจะให้ลูกมารับสมบัติ แต่ลูกไม่รักดีเกะกะเกเรก็เป็นทุกข์อีก เพราะฉะนั้นทุกชีวิตมีทุกข์ทั้งนั้น ตั้งแต่เศรษฐีถึงยาจก วณิพกถึงพระราชา โดยเฉพาะตัวของเรานี่แหละจะเห็นได้ชัดเจน
ดังนั้น เป้าหมายชีวิตจึงเกิดมาเพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง เมื่อทำพระนิพพานให้แจ้งแล้ว ทุกข์ก็ดับไป ทุกข์ดับไปหมด เมื่อกิเลสมันสิ้น พอกิเลสดับไป ความเดือดเนื้อร้อนใจหมดไป นิพพานก็แจ้ง มันแจ้งตอนดับกิเลสหมดแล้ว นี่คือเป้าหมายทุกชีวิต
เราเป็นผู้มีบุญ โชคดีที่เกิดมาในร่มเงาของพระพุทธศาสนาที่อุดมไปด้วยความรู้อันบริสุทธิ์ที่แท้จริง ผู้ที่เป็นพระบรมศาสดาของเราก็เป็นมนุษย์ ไม่ได้เป็นพระผู้เป็นเจ้า เมื่อเป็นมนุษย์ก็จะเข้าใจชีวิตของมนุษย์ได้ดีกว่าคนอื่นที่ไม่ได้เป็นมนุษย์ แล้วก็สรุปเป้าหมายของชีวิตว่า เราเกิดมาเพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง วิธีการทำพระองค์ก็บอกหมดแล้ว จะไปนิพพานไปอย่างไรก็ทรงบอกเอาไว้ตั้งหลาย ๆ นัย
ในอริยสัจ ๔ ก็มีว่า ชีวิตเป็นทุกข์ เหตุเพราะความทะยานอยาก อยากที่เจือไปด้วยความเพลิน คือเจือไปด้วยความไม่รู้นั่นแหละ มันเพลิด ๆ เพลิน ๆ ไป อยากได้ อยากมี อยากเป็น ความรู้ยังไม่สมบูรณ์ มันก็เพลิน ๆ กันไป เพราะฉะนั้นต้องหยุดความอยากที่เรียกว่า นิโรธ ความอยากเกิดขึ้นที่ใจ ก็หยุดที่ใจ หยุดอยากแล้วเดี๋ยวจะเข้าถึงมรรค จะเห็นหนทางที่จะไปสู่อายตนนิพพาน หรือทำพระนิพพานให้แจ้ง
มรรคนี้เรียกว่า อริยมรรค จะเป็นดวงใส ๆ กลมรอบตัว เหมือนแก้วกายสิทธิ์ เหมือนดวงดาว ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์อย่างนั้นแหละ เห็นทางแล้ว เราก็หยุดไปเรื่อย ๆ มองไปในทางนั้น เดี๋ยวก็จะพบกายในกาย และก็จะเข้าถึงพระธรรมกาย ถึงพระรัตนตรัยในตัว พระรัตนตรัยนั้นจะขจัดกิเลสอาสวะให้หมดสิ้นไป พาเราไปสู่ฝั่งของอมตนิพพาน ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ท่านก็สอน
หรือจะดูอีกนัยหนึ่ง นิพพิทา วิราคะ วิมุตติ วิสุทธิ สันติ นิพพาน
นิพพิทา แปลว่า ต้องเบื่อหน่าย คือ เห็นทุกข์เห็นโทษของชีวิตที่อยู่ในวัฏสงสาร ไม่ว่าจะเกิดเป็นอะไรก็แล้วแต่ มันไม่เข้าท่าทั้งนั้น เพราะมันยังอยู่ในกฎเกณฑ์ของไตรลักษณ์ มีการเปลี่ยนแปลง เดี๋ยวขึ้น-เดี๋ยวลง มีลาภ-เสื่อมลาภ มียศ-เสื่อมยศ มีคนสรรเสริญ-มีคนนินทามีสุข-มีทุกข์ ทุกข์เกิดขึ้นทั้งทุกข์ประจำสังขาร และทุกข์ที่จรมาอีก ของประจำก็แย่อยู่แล้ว ยังมีของจรมาเจอกันอีก เลยยุ่งไปกันใหญ่
ท่านสอนให้มองให้เห็น แล้วให้เบื่อหน่ายชีวิตที่มันเป็นทุกข์ แต่ไม่ได้ให้คิดแบบโง่ ๆ ด้วยการฆ่าตัวตาย แต่ให้หาทางออกด้วยสติ ด้วยปัญญา ด้วยกำลังใจอันสูงส่ง คือต้องให้เบื่อหน่ายเสียก่อน ถ้ายังไม่เบื่อแล้วก็ยากที่จะไปพระนิพพานได้ ต้องเกิดความเบื่ออย่างแรงกล้าเสียก่อน
มองไปดูเถอะ ถ้ารู้สึกเบื่อชีวิตของเราที่ผ่านมาว่า มันไม่ได้สมหวังดังใจอะไรสักอย่าง สมมติว่าเป็นชาวประมงไปทอดแห อยากได้ปลาดันไปเจองูบ้าง ก้อนอิฐบ้าง ก้อนหินบ้างติดร่างแหกันมา อยากเจออย่างหนึ่งแต่ได้อีกอย่างหนึ่งอย่างนี้ อยากเจอคู่ในอุดมคติ ก็เจอขี้เมามาอยู่ข้าง ๆ บ้าง อยากได้พ่อบ้านเป็นคนดี กลับได้ผีการพนันมาอยู่ข้าง ๆ ตัวอีก มันเยอะแยะไปหมด เพราะฉะนั้นดูแล้วชีวิตนี้น่าเบื่อ
พอเบื่อมันก็คลาย (วิราคะ) เราเบื่ออะไร เราก็จะคลาย คลายความรัก คลายความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งนั้น
พอคลายมันก็หลุด มันต้องเบื่อก่อน เบื่อแล้วก็คลาย พอคลายมันก็ปล่อย เรียกว่า วิมุตติ พอปล่อยได้ จิตมันก็บริสุทธิ์ในระดับหนึ่ง วิสุทธิ คือมันนิ่ง ๆ เฉย ๆ สันติ หยุดสนิทเลย พอหยุดได้สนิทเดี๋ยวเห็นมรรคเกิดขึ้น สันติ หยุดในหยุดไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็ นิพพาน ดับทุกข์ร้อนได้
นิพพาน แปลว่า ดับทุกข์ ดับกิเลส ดับความร้อน ไม่ใช่ดับไปหมดทุกอย่าง ดับกิเลสสิ่งไม่ดี เหลือแต่สิ่งดี ๆ เหมือนทองคำถ้ามันมีแร่ธาตุอื่นเจือปน เขาก็แยกเอาแร่อื่นออกด้วยการทำรีไฟน์ (refine) ให้เหลือแต่ทองคำบริสุทธิ์ล้วน ๆ จึงจะเอามาใช้ทำอะไรได้ มันเกิดประโยชน์ มีคุณค่า หรือพลังงานปรมาณูที่เขาใช้แร่ยูเรเนี่ยม แต่เดิมมันก็เป็นธาตุผสมยังไม่บริสุทธิ์ ก็ทำการแยกให้เหลือแต่ธาตุบริสุทธิ์ล้วน ๆ จึงจะนำไปทำให้เกิดพลังงานได้ ใจของเราเช่นเดียวกัน มันมีธาตุที่ไม่บริสุทธิ์เจือปนผสมกันอยู่ คือ โลภะ โทสะ โมหะ (กิเลสอาสวะ) พอเราแยกออกไปด้วยหยุดกับนิ่ง ก็จะเหลือแต่วิราคธาตุวิราคธรรม คือธาตุธรรมที่สะอาดบริสุทธิ์ เป็นฝ่ายบุญล้วน ๆ บริสุทธิ์ล้วน ๆ สว่างไสว
เมื่อใจบริสุทธิ์ล้วน ๆ สะอาดล้วน ๆ สว่างไสว ก็มีพลังงานเต็มที่ที่จะขยายความสุขมาสู่จิตใจเรา ระบบประสาทกล้ามเนื้อเรา ขยายไปสู่สิ่งแวดล้อมได้ ให้ทั้งความสุข ให้ทั้งความรอบรู้ ให้ทั้งความหลุดพ้น เป็นอิสระที่เป็นนิรันดร
ชีวิตที่มีน้อย เขามีเอาไว้ให้แสวงหาหนทางพระนิพพาน บางคนไปรังเกียจพระนิพพานว่าไปแล้วมันไม่สนุก นั่นเพราะเขายังไม่รู้จักพระนิพพาน และยังไม่เห็นทุกข์โทษของชีวิตอย่างแท้จริง เพราะว่าไม่ได้มาพิจารณา อยู่กับทุกข์จนชาชิน เหมือนคนที่จมอยู่ในโคลนตมมานาน มันชิน มันชา แต่ผู้มีปัญญาเขาไม่คิดอย่างนั้น คิดว่าต้องปล่อย ต้องหลุด ต้องพ้น ต้องแสวงหาทางหลุดพ้นให้ได้
มีอีกวิธีหนึ่งที่เห็นหนทางพระนิพพานแล้ว แต่ยังยินดีในวัฏฏะ ก็มีวิธี คือเราเข้าถึงพระธรรมกาย เราก็ศึกษาวิชชาธรรมกายไปสิ แล้วมุ่งไปสู่ที่สุดแห่งธรรมนั่นแหละ ได้ถึงพระธรรมกายในตัวแล้ว ไปนรกก็ได้ ไปสวรรค์ก็ได้ ไปพระนิพพานก็ได้ แล้วเราก็มุ่งไปสู่ที่สุดแห่งธรรม ค้นต่อไปอีก ศึกษาต่อไปอีกว่า อะไรเป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์ทรมานของสรรพสัตว์และสรรพสิ่งทั้งหลาย อะไรปกครองโอกาสโลก ขันธโลก สัตวโลก อย่างนี้แม้ถึงพระนิพพาน แต่ก็ยังอยู่ในวัฏฏะได้ เพื่อแสวงไปหาที่สุดแห่งธรรม ไปถึงที่สุดแห่งธรรมแล้วก็รื้อวัฏฏะกันไปเลย นี่สำหรับบางคนที่ยังไม่มีใจยินดีจะไปพระนิพพาน มันก็มีทางออก โน่นต้องไปที่สุดแห่งธรรมนั่นแหละ
เพราะฉะนั้น เมื่อชีวิตเป็นของน้อย เราจึงควรใช้ชีวิตให้มีคุณค่าและมีประสิทธิภาพที่สุด นอกเหนือจากการทำมาหากินแล้ว การเพลิดเพลินสนุกสนานเพื่อผ่อนคลายความทุกข์ ซึ่งจริง ๆ แล้วมันก็ไม่ใช่ความสุขนะ เพื่อผ่อนคลาย เพื่อพักผ่อน ใจที่ตึง ๆ เหมือนคนชักเย่อกันจะได้พักผ่อนแล้วก็หย่อนใจ ใจมันก็คลายจากความตึงเครียด พักผ่อนหย่อนใจอย่างนั้นนะ
นอกเหนือจากทำมาหากินแล้ว พักผ่อนหย่อนใจด้วยความเพลิดเพลินแล้ว เราก็ควรจะมาแสวงหาสิ่งที่เป็นสาระแก่นสารของชีวิต นั่นก็คือการทำใจหยุดใจนิ่ง ไม่คิด ไม่พูด ไม่ทำ เพราะคิดพูดทำมาทั้งวันแล้ว มาตั้งหลายวัน หลายอาทิตย์ หลายเดือน หลายปี
ตลอดชีวิตที่ผ่านมานั้น เราคิด เราพูด เราทำมาตั้งเยอะ มาลองไม่คิด ไม่พูด ไม่ทำ มาลองทำหยุดทำนิ่งดู แล้วเราก็จะพบอารมณ์อันประณีตชนิดหนึ่งซึ่งแตกต่างจากที่เราเคยเจอ เมื่อเราอยู่ในจุดที่ปลอดความคิด คำพูดและการกระทำ ใจจะหยุดนิ่ง จะขยาย ไม่คับแคบ จะเบ่งบาน เบิกบาน มีความสุข กายเบา ใจเบา เป็นอิสระ ไม่ยึดติดอะไรเลย แล้วก็มีความสว่างเกิดขึ้น
ในกลางความสว่าง เราจะได้เห็นสิ่งที่เป็นไปตามความจริง ซึ่งมีอยู่ดั้งเดิมแต่เราไม่เคยเห็นมาก่อน ทั้ง ๆ ที่มีอยู่ จะได้เห็นสิ่งที่มีอยู่นั้นเมื่อแสงสว่างแห่งความบริสุทธิ์ของจิต ที่เกิดจากการไม่คิด ไม่พูด ไม่ทำ คือหยุดกับนิ่งนั่นแหละ จะเห็นดวงใส ๆ กายใส ๆ จะเห็นกายในกาย เห็นชีวิตที่มีหลาย ๆ ระดับที่ประณีตขึ้นไปเรื่อย ๆ
จนกระทั่งเข้าถึงพระธรรมกาย เข้าถึงพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ จะมีความสุข สดชื่น กว้างขวางอย่างไม่มีขอบเขต คือตัดเส้นรอบวงของความสุขนั้นออกไปสู่ทะเลแห่งความสุขที่แท้จริง ที่ไม่มีขอบเขต และทะเลแห่งความรู้อันบริสุทธิ์ ที่ไม่มีขอบเขต รู้เห็นไปตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นความจริงของชีวิตของเราของสรรพสิ่งสรรพสัตว์ทั้งหลาย เราจะเข้าไปถึงความรู้ชนิดนี้
ถ้าเข้าถึงความรู้อย่างนี้ได้ เกิดมาชาตินี้สมหวัง มีชีวิตเพียงน้อยด้วยกายมนุษย์นี้ก็สมหวังดังใจ ได้ศึกษาเรียนรู้ความรู้ภายในที่ยิ่งใหญ่ที่ไม่มีอะไรมาเสมอเหมือน ทั้งความรู้ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อุปมาให้ภิกษุทั้งหลายได้ฟัง โดยหยิบใบไม้ในป่าประดู่ลายมาไว้ในกำมือ และพระองค์ก็เปรียบเทียบให้ดู โดยตั้งคำถามถามภิกษุว่า
“ใบไม้ในกำมือ กับใบไม้ในป่าประดู่ลายที่ตรงไหนมีมากกว่ากัน”
ภิกษุทั้งหลายก็ตอบว่า
“ใบไม้ในป่านั้นมีมากกว่าพระเจ้าข้า”
พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสว่า
“สิ่งที่เราได้นำมาสอนนั้น แค่ใบไม้ในกำมือเท่านั้น ใบไม้ในป่าอีกเยอะแยะ เราได้ไปศึกษาเรียนรู้มาแล้วด้วยสัพพัญญุตญาณของเราที่ไม่มีขอบเขตนี้ แต่เรานำมาสอนเธอแค่กำมือ สอนแค่ว่าให้เธอหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะเท่านั้น”
เมื่อใจเราหยุดสนิทเข้าถึงพระธรรมกายแล้ว เราจะมีโอกาสได้ศึกษาความรู้ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุปมาเอาไว้ทั้งในกำมือและในป่าใหญ่ ยิ่งรู้ก็ยิ่งบริสุทธิ์ ยิ่งรู้ก็ยิ่งมีความสุข ยิ่งรู้จิตใจยิ่งขยาย ยิ่งกว้างขวาง ไม่คับแคบ ไม่เห็นแก่ตัว แต่จะรักตัวเองยิ่งขึ้น และรักเพื่อนมนุษย์สรรพสัตว์ทั้งหลายยิ่งขึ้น ความแตกแยกและความแตกต่างจะไม่เกิดขึ้นในจิตใจของผู้ที่เข้าถึง
วันอาทิตย์ที่ ๒๖ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๖