อยู่ในระหว่างการทดสอบการใช้งาน

คําภาวนา สัมมา อะระหัง

(เมื่อเราได้สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ต่อจากนี้ไปตั้งใจเจริญสมาธิภาวนากันนะ……..)

…ตรึกนึกถึงดวงใส..
คำว่า “ตรึก” ไม่ใช่แปลว่า เอาตากดลงไปดูนะ
แต่หมายถึง การนึกถึงบริกรรมนิมิตอย่างเบา ๆ สบาย ๆนั่นเอง

หลับตาพริ้ม ๆ นั่งหน้ายิ้ม ๆ ผ่อนคลายอย่างสบาย ๆ ตรึกนึกถึงดวงใส เอาใจหยุดอยู่ในกลางดวงใส ๆ นิ่ง ๆ นุ่ม ๆ เบา ๆ สบาย ๆ พร้อมกับประคองใจด้วยบริกรรมภาวนาในใจเบา ๆ ว่า สัมมา อะระหัง จะกี่ครั้งก็ได้

คําภาวนา สัมมา อะระหัง

สัมมา ย่อมาจาก อริยมรรคมีองค์ ๘ ตั้งแต่ สัมมาทิฐิ  สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คือ มีความเห็นถูกต้อง คิดถูก พูดถูก ทําถูก เป็นต้น

อะระหัง แปลว่า ห่างไกลจากกิเลส หมายถึง เมื่อเราปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๘ ซึ่งเป็นเส้นทางไปสู่ความเป็นพระอริยเจ้า มีข้อวัตรปฏิบัติเรียงไปตามลําดับ ๘ ข้อ ตั้งแต่เห็นถูก คิดถูก พูดถูก ทําถูก ประกอบอาชีพถูก ทําความเพียรถูก ตั้งสติถูก คือเอาใจเชื่อมโยงกับกระแสแห่งความบริสุทธิ์ภายในถูก กระทั่งเกิดสัมมาสมาธิ

สัมมา อะระหัง คือ คิดพูดทําทุกสิ่งให้ถูกต้อง แล้วเราจะห่างไกลจากความทุกข์ทรมานของชีวิต จากความไม่บริสุทธิ์ ไปสู่ความบริสุทธิ์ หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ เหมือนปลาหลุดจากข้องที่ขังออกไป ไม่ต้องกลับมาสู่ข้องนั้นอีก เหมือนลูกไก่หลุดพ้นจากกระเปาะไข่ออกมาเป็นตัวของตัวเองอย่างสมบูรณ์ เราก็จะหลุดพ้นจากภพ ๓ ไปสู่ความอิสระ เป็นตัวของตัวเอง เป็นอยู่ได้ด้วยตัวของตัวเอง ไม่ต้องพึ่งพิงพึ่งพาสิ่งใดเลย บริบูรณ์ มีสุขตลอดเวลา เป็นบรมสุข สุขอย่างยิ่ง เหมือนดวงอาทิตย์มีแสงสว่างด้วยตัวของตัวเอง มีพลังอยู่ในตัวอย่างนั้น

ผู้ที่หลุดพ้นแล้ว ก็จะเป็นตัวของตัวเองทํานองนั้น มีความสุขด้วยตัวของตัวเอง ไม่ต้องพึ่งพิงพึ่งพา คน สัตว์ สิ่งของ ลาภ ยศ สรรเสริญ อํานาจ วาสนา แต่เป็นอยู่ด้วยตัวเอง แม้อยู่ตามลําพัง ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตาม หลุดพ้นแล้ว เป็นอิสระแล้วจากภพ ๓ จากกรอบอวิชชาที่เขาบังคับเอาไว้ โดยอาสวะความโลภ ความโกรธ ความหลง ใจถูกแช่อิ่มหมักดอง เหมือนผักที่ดองด้วยรสเปรี้ยว รสหวาน รสเค็ม มายาวนาน นับภพนับชาติไม่ถ้วน จนความโลภ โกรธ หลง คุ้นเคยเป็นเนื้อเดียวกันเลย คลุกเคล้าปนเป็นกันไปอย่างนั้น

เมื่อเป็นอย่างนั้น ก็ต้องอยู่ในกรอบของภพ ๓ เวียนว่ายตายเกิด ด้วยความไม่รู้ ไม่รู้ว่าตัวเองไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้ว่าเกิดมาทําไม อะไรคือเป้าหมายชีวิต จะไปสู่เป้าหมายชีวิตได้อย่างไรเป็นต้น ก็จะวนเวียนอยู่อย่างนั้น เวียนเกิด เวียนตาย แล้วก็มีภพภูมิรองรับ ตกอยู่ภายใต้กฎแห่งการกระทํา ทางกาย ทางวาจา ทางใจ แล้วก็มีวิบากกรรมรองรับ มีภพภูมิรองรับ ไปตามการกระทําของตัวที่ขาดสติปัญญา ขาดความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องราวความเป็นจริงของชีวิต

แล้วชีวิตก็จะตกอยู่ภายใต้สามัญลักษณะ กฎแห่งความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทุกข์ทรมานตลอด ไม่เป็นตัวของตัวเองตลอดเวลาเลย แล้วก็ยังตกอยู่ใต้กฎอื่น ๆ อีกมากมายก่ายกอง ซึ่งเราจํายอมจะต้องตกอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์เหล่านั้น โดยไม่รู้สาเหตุและต้นเหตุว่าเป็นเพราะอะไร ทําไมเราจึงต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์เช่นนี้

ความไม่รู้นี้แหละจึงทําให้เกิดการแสวงหา กระทั่งมีผู้รู้บังเกิดขึ้น ด้วยอานุภาพแห่งการสั่งสมความบริสุทธิ์ ความดีงาม ที่เรียกว่าบารมี ๑๐ ทัศ และ ๓๐ ทัศ จนกระทั่งในลําดับที่ผู้ที่เขาทําให้เราตกอยู่ในกรอบวิชชานี้กันไม่อยู่ เมื่อกันไม่อยู่ เขาก็หลุดพ้นได้จากความทุกข์ทรมาน เพราะฉะนั้น สัมมา อะระหัง นี้เป็นสิ่งที่ลึกซึ้งนัก

เมื่อเรากําหนดบริกรรมนิมิต ตรึกนึกถึงดวงใส หยุดอยู่ในกลางดวงใส ก็ต้องประคองใจด้วยบริกรรมภาวนา สัมมา อะระหัง อย่างนี้เรื่อยไป จนกว่าใจจะหยุดนิ่ง อยากอยู่นิ่งเฉย ๆ ไม่อยากจะภาวนา สัมมา อะระหัง ต่อไปแล้ว ก็ให้รักษาใจที่หยุดนิ่งอย่างนั้น แต่ว่าเมื่อใดใจฟุ้งไปคิดเรื่องอื่นจึงย้อนกลับมาภาวนา สัมมา อะระหัง ใหม่ ประคับประคองใจกันไปอย่างนี้นะ

เช้านี้อากาศกําลังสดชื่นแจ่มใส เย็นสบาย เหมาะสมสําหรับลูกผู้มีบุญทุกคน จะได้ประกอบความเพียรให้ถูกวัตถุประสงค์ของการมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็ให้ตั้งใจประคับประคองกันให้ดี ฝึกหยุด ฝึกนิ่งกันให้ดี ให้ถูกต้องตามหลักวิชชาอย่างสบาย ๆ ให้ลูกทุกคนสมหวังดังใจ ในการเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวทุกคน ต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบ ๆ

วันอาทิตย์ที่ ๒๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๑

บทความที่เกี่ยวข้อง