อยู่ในระหว่างการทดสอบการใช้งาน

หน้าแรกบทความ

บทความ

Most Commented

ฐานทัพพระธรรมกาย

คุณยายเป็นมนุษย์มหัศจรรย์ เราจะเข้าใจท่านได้มากขึ้นถ้าหากเราอยู่ใกล้ชิดท่าน เมื่อเรามองผ่านกายภายนอกของท่าน เราจะเห็นรูปร่างอันผอมบางสะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น แต่ใบหน้ายังนวลตึงแม้ขณะที่ท่านมีอายุถึง 90 ปีแล้ว นับว่าแตกต่างจากคนทั่วไปที่มีอายุเท่ากัน ยิ่งถ้าหากเรามองเข้าไปถึงหน้าที่ในการสู้รบปรบมือกับพญามาร ก็นับว่าเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก แล้วเราจะตระหนักว่าคุณยายเป็นผู้ที่สมควรได้รับการเคารพสักการะบูชาจากมนุษย์และเทวาทั้งหลาย แม้ว่าคุณยายจะอยู่ในเพศของอุบาสิกาแม่ชีแต่ท่านก็เป็นเนื้อนาบุญอย่างยิ่ง ไม่ว่าท่านจะมีชีวิตอยู่หรือละจากโลกนี้ไปแล้ว หากเรามีจิตเลื่อมใสทําบุญบูชาท่าน ย่อมได้ผลบุญมากไม่แตกต่างกันสาเหตุที่ทําบุญกับคุณยายแล้วได้บุญมากเพราะท่านเป็นที่รวมของผู้บริสุทธิ์ผู้รู้ผู้มีอานุภาพภายในคุณยายมีหน้าที่ทําวิชชาธรรมกายเพื่อปราบพญามาร กายมนุษย์ของท่านเป็นประดุจฐานทัพที่รองรับพระธรรมกายนับพระองค์ไม่ถ้วน ซึ่งพระธรรมกายแต่ละพระองค์ก็เป็นแหล่งแห่งความบริสุทธิ์แหล่งแห่งบุญและอานุภาพอันไม่มีประมาณ คือไร้ขอบเขต สมบูรณ์เพียบพร้อมด้วยวิชชา 3 อภิญญา 6และจรณะ 15 เป็นต้น ดังที่เราเคยได้ยินว่า“อัปปมาโณพุทโธ”...

องค์พระกลางอากาศ

ในสมัยที่พระเดชพระคุณหลวงปู่ยังมีชีวิตอยู่เป็นที่ทราบกันดีว่าท่านเคยกราบอาราธนาพระธรรมกายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาปรากฏพระองค์อยู่เหนือพระอุโบสถของวัดปากน้ํา ภาษีเจริญ ในคืนวันสําคัญทางพระพุทธศาสนา อย่างเช่นวันมาฆบูชา และวันวิสาขบูชา ซึ่งมีผู้รู้เห็นเป็นพยานด้วยกันอยู่เป็นจํานวนมาก การเห็นองค์พระลอยอยู่กลางอากาศด้วยตาเปล่านั้น เป็นสิ่งที่ผู้มาร่วมเวียนเทียนที่วัดปากน้ําภาษีเจริญ เห็นกันทุกปี ถือเป็นเรื่องปกติที่พระเดชพระคุณหลวงปู่สามารถทําได้ด้วยอานุภาพแห่งวิชชาธรรมกาย ภาพอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นนั้น เป็นภาพที่เห็นกันหลายคน และปรากฏอยู่อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานทําให้ผู้พบเห็นเกิดความปลื้มปีติอย่างไม่รู้ลืมได้นํามาเล่าสู่กันฟังจนถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน มีอยู่ท่านหนึ่งเล่าให้หลวงพ่อฟังว่า เขาเห็นองค์พระใสลอยอยู่บางท่านบอกว่าใสเหมือนกระจก บางท่านบอกว่าใสเหมือนแก้วหรือเหมือนเพชร บ้างก็เห็นองค์เล็กบ้างก็เห็นองค์ใหญ่ ตามแต่องค์พระจะปาฏิหาริย์ให้เห็น เมื่อเห็นแล้วก็ชี้ชวนกันดูด้วยความตื่นเต้นดีอกดีใจ แม้เลิกเวียนเทียนแล้วนั่งเรือจ้างออกจากวัดเหลียวหลังกลับไปดูหลังคาพระอุโบสถก็ยังมองเห็นองค์พระลอยอยู่เหมือนเดิมปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นถือได้ว่าเป็น“อจินไตย” คือสิ่งที่เหนือธรรมชาติเหนือความนึกคิดของมนุษย์ซึ่งมีขอบเขตจํกัด แต่เกิดขึ้นได้ด้วยอานุภาพแห่งวิชชาธรรมกาย และด้วยบุญบันดาลเป็นบุญที่เกิดขึ้นจากจิตที่เลื่อมใสในพระรัตนตรัยซึ่งมีพระคุณไม่มีประมาณ เมื่อคุณยายย้ายมาอยู่ที่วัดพระธรรมกายท่านก็เคยทําเช่นนี้เหมือนกัน ท่านบอกว่าท่านจะไปกราบอาราธนาพระธรรมกายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาในคืนวันมาฆบูชา วันนั้นทุกคนนั่งสมาธิกันตั้งแต่เช้าพอถึงเวลาที่สาธุชนกําลังเวียนเทียนกัน...

อธิษฐานล้อมคอก

หลวงพ่อเคยได้ยินคุณยายใช้คําว่า “ระลึกชาติปัจจุบัน” อยู่เรื่อยๆ หลายคนอาจไม่ค่อยเข้าใจกับคําว่าระลึกชาติปัจจุบัน เพราะเคยได้ยินและรู้จักแต่การระลึกชาติในอดีต หลวงพ่อถามคุณยายว่า“ระลึกชาติปัจจุบันเป็นอย่างไร” คุณยายบอกว่า“เอ้า เราก็ดูสิ ตั้งแต่เราเกิดมาจําความได้ เรื่อยมาจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ เรามีข้อบกพร่องอะไรบ้างทางกายทางวาจา ทางใจ ทางครอบครัว สิ่งรอบตัวอะไรต่างๆ สารพัด ถ้าเรามีข้อบกพร่อง เราก็สร้างบุญให้เยอะๆแล้วก็อธิษฐานล้อมคอก” นี่คือภาษาของท่านอธิษฐานล้อมคอกว่า ภพชาติต่อไปขอให้เราอย่าได้เป็นอย่างนี้ ขอให้เป็นอย่างนั้น แล้วอธิษฐานยาวไปถึงทุกภพทุกชาติตราบจนกระทั่งถึงที่สุดแห่งธรรมท่านอุปมาเอาไว้ว่า เหมือนคอกวัว คอกควาย ที่ป้องกันภัยจากโจร...

เมื่อต้องเผยแผ่

ผู้ทําหน้าที่เผยแผ่วิชชาธรรมกายในยุคของพระเดชพระคุณหลวงปู่นั้นมีทั้งพระภิกษุและอุบาสิกาแม่ชีบางท่านก็มีโอกาสในการศึกษาวิชชาธรรมกายอยู่ในโรงงานทําวิชชาด้วย ยกตัวอย่างเช่นคุณยายทองสุขสําแดงปั้น ซึ่งท่านมีความถนัดในการเผยแผ่มากคุณยายทองสุขมีอัธยาศัยชอบพูดคุยช่างเจรจา เป็นบุคลิกที่แตกต่างจากคุณยายจันทร์ที่เป็นคนพูดน้อย แต่ภายในท่านเหมือนกัน จะเห็นได้ว่าผู้ทําหน้าที่รบกับพญามารจะมีอัธยาศัยอย่างหนึ่งส่วนผู้ทําหน้าที่เผยแผ่ก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง อย่างไรก็ตามทั้งสองฝ่ายต่างต้องเกื้อกูลกัน โดยฝ่ายทําวิชชามุ่งเข้าไปสู่ภายใน ส่วนฝ่ายเผยแผ่ขยายไปสู่ภายนอก อันที่จริงแล้วคุณยายทองสุขก็รักการทําวิชชามาก ท่านไม่ปรารถนาที่จะออกจากโรงงานทําวิชชาไปเผยแผ่ เพราะเกรงว่าจะรู้วิชชาไม่เท่ากับผู้อื่น แต่พระเดชพระคุณหลวงปู่จําเป็นต้องส่งคุณยายทองสุขไปเพราะแต่ก่อนท่านส่งพระภิกษุไปทําหน้าที่เผยแผ่จนเป็นที่ตั้งแห่งศรัทธาของญาติโยม เป็นเหตุให้มีประชาชนมาปฏิบัติธรรมด้วยนับพันคนในสมัยนั้นซึ่งถือว่าเยอะมาก เพราะเป็นผู้มีการศึกษาทางด้านปริยัติเป็นอย่างดีด้วย แต่เมื่อส่งไปแล้วล้วนหายไปหมด ไม่หวนกลับมาหาท่านอีกเลย หลวงปู่ก็รําพึงว่าพญามารมันเก่งที่สามารถเอาไปได้ หลวงปู่รําพึงในโรงงานทําวิชชาว่า “เออพ่อส่งไก่ไปขัน ก็ไม่กลับมาหาพ่อเลย เห็นทีจะต้องส่งเป็ดไป” ไก่ในที่นี้หมายถึงพระภิกษุ ส่วนเป็ดหมายถึงอุบาสิกาแม่ชีซึ่งเวลาร้องออกมาแล้วไม่ดังเท่าไก่ เพราะไก่ขันดังกว่ามาก แต่ในเมื่อส่งไก่ไปแล้วไม่กลับมาท่านก็ปรารภผ่านช่องที่เจาะเอาไว้ว่า“พ่อต้องเอาเป็ดไปขันแล้วละ...

คําเดียวของคุณยาย

คุณยายเป็นคนสงบเงียบเรียบง่ายที่ชอบนั่งหลับตาทําสมาธิท่านนั่งธรรมะทุกวันและได้ใช้วิชชาที่ท่านเชี่ยวชาญตามที่ได้ศึกษามาจากพระเดชพระคุณหลวงปู่เพื่อช่วยเหลือส่วนรวม ตลอดเวลาที่ผ่านมา หลวงพ่อไม่เคยได้ยินคุณยายปริปากบ่นในการทําหน้าที่เลยว่า “ไม่” “ไม่ไหว” หรือ “ไม่ได้” สิ่งที่หลวงพ่อได้ยินนั้นมีแต่คําว่า“ค่ะ” “ได้ค่ะ” ท่านพูดกับหลวงพ่ออย่างนี้แล้วถ้ามีใครมาขอบารมีท่านก็จะตอบว่า “ค่ะ” แล้วคุณยายยังช่วยพูดให้กําลังใจอีกด้วย หากคุณยายพบว่าลูกหลานคนใดที่พ่อแม่เลี้ยงไม่ได้เพราะกําลังบุญของลูกมีมากกว่า คุณยายก็จะบอกว่า “มาเป็นลูกยายนะ”บางคนก็มากราบเรียนท่านว่า พ่อแม่ ปู่ย่า ตายายของผมละโลกไปแล้ว คุณยายช่วยเอาบุญนี้ไปให้หน่อยนะครับ ยายก็“ค่ะ” “ได้ค่ะ” แล้วท่านก็แผ่บารมีไปถึงหมด เมื่อมีคนที่เจ็บไข้ได้ป่วยแล้วต้องเข้ารับการผ่าตัด มากราบเรียนท่านว่า “ยาย หนูจะไปผ่าตัด”“ผมจะไปผ่าตัด”...

คุณยายหมายเลขหนึ่ง

ครั้งหนึ่งพระเดชพระคุณหลวงปู่เคยสั่งให้คุณยายคุมบุญให้กับแม่ชีท่านหนึ่งที่หมดอายุขัยต้องละโลก ซึ่งแม่ชีท่านนั้นได้มาช่วยงานอยู่ในวัดปากน้ําโดยมีหน้าที่ทําอาหารเลี้ยงพระภิกษุสามเณร หลวงปู่ท่านถามคุณยายว่าแม่ชีอุบาสิกาตายแล้วไปไหน อันที่จริงท่านก็ทราบอยู่แล้ว แต่ท่านจะใช้งานคุณยายเมื่อคุณยายตรวจตราแล้วก็เห็นว่าแม่ชีท่านนั้นได้ไปอยู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์มีวิมานสูงใหญ่สวยงามมากคุณยายก็รําพึงว่า เขามาไม่กี่ปีทําไมเขาได้บุญเยอะขนาดนี้หลวงปู่ทราบความคิดของคุณยายจึงบอกว่าของเราไม่ต้องพูดกันแล้ว ซึ่งหมายความว่าบุญในการทําวิชชาปราบมารนั้นมหาศาลกว่ามากทีเดียว การสู้กับพญามารนั้นไม่สามารถสู้รบกันได้ด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์ใด แต่สู้กันด้วยใจที่ละเอียดต้องอาศัยกําลังบุญฤทธิ์เท่านั้น ผู้ที่จะสู้ได้จึงต้องมีกําลังบุญมาก ซึ่งคุณยายก็เป็นผู้ที่มีกําลังบุญมากในระดับนั้น และท่านได้สั่งสมบุญไม่ขาดเลยจนกระทั่งหมดอายุขัย แต่คุณยายกลับพูดว่า ท่านมีความรู้สึกว่าเพิ่งได้บุญไปนิดเดียว คําพูดนี้จึงเป็นเครื่องแสดงถึงความรู้สึกของผู้ที่กระหายในการสั่งสมบุญ ท่านเป็นผู้ที่ไม่อิ่มและไม่เบื่อในการทําความดีไม่ว่าจะทําไปมากเพียงใดแล้วก็ตาม ท่านยังมีความรู้สึกว่ายังน้อยอยู่เหมือนทะเลที่ไม่อิ่มน้ําและไฟที่ไม่อิ่มเชื้อ บัณฑิตอย่างคุณยายก็ไม่อิ่มในการสั่งสมบุญ ในยุคสมัยนั้นมีผู้บรรลุธรรมเข้าถึงพระธรรมกายอยู่มาก แต่ผู้ที่เข้าถึงวิชชาธรรมกายในระดับที่ได้รับการยกย่องจากหลวงปู่วัดปากน้ํา ผู้ค้นพบวิชชานั้น จะมีสักกี่ท่านในโลกนี้ปกติแล้วคํายกย่องนั้นเกิดขึ้นได้ยาก ถ้าหากความดีไม่มากพอ แต่เมื่อคุณยายมีความดีมากพอ คํายกย่องของท่านจึงปรากฏขึ้น ในสมัยพุทธกาล พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงยกย่องบุคคลต่างๆ...

Editor Picks