หลักการเจริญภาวนา
สมถวิปัสสนากรรมฐาน
บัดนี้ท่านทั้งหลาย ทั้งหญิงและชาย ได้เสียสละเวลาอันมีค่ามาศึกษาในทางพระพุทธศาสนา นี้เป็นกิจส่วนตัวสำคัญ ทางพระพุทธศาสนาแปลว่า คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าสอนให้สัตว์โลกทั้งหมด ละชั่วด้วยกาย วาจา ใจ ทำความดีด้วยกาย วาจา ใจ ทำใจให้ใส ๓ ข้อนี้แหละ เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ ทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคต ยืนยันเหมือนกันหมด เหตุนั้น ท่านทั้งหลาย เมื่อตั้งใจมั่นลงในพระพุทธศาสนาเช่นนี้ ก็เพื่อจะทำใจของตนให้ดีตามประสงค์ของทางพระพุทธศาสนา การที่จะทำใจให้ดีนี้ มีบาลีเป็นตำรับตำราว่า
เทฺวเม ภิกฺขเว วิชฺชา ภาคิยา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย วิชชา มี ๒ อย่าง กตเม เทฺว ๒ อย่าง อะไรบ้าง สมโถ จ สมถะ ความสงบระงับอย่าง ๑ วิปสฺสนา จ วิปัสสนา ความเห็นแจ้งอย่าง ๑ สมโถ ภาวิโต กิมตฺถมนุโภติ สมถะเป็นขึ้นแล้วต้องการอะไร จิตฺตํ ภาวิยต ต้องการให้จิตเป็นขึ้น จิตฺตํ ภาวิตํ กิมตฺถมนุโภติ จิตเป็นขึ้นแล้วต้องการอะไร โย ราโค โส ปหียติ ความกำหนัดยินดีอันใดที่มีอยู่กับจิตใจ ความกำหนัดยินดีอันนั้นก็หมดไปด้วยสมถะ ความสงบระงับ วิปสฺสนา ภาวิตา กิมตฺถมนุโภติ วิปัสสนาเป็นขึ้นแล้วต้องการอะไร ปญฺญา ภาวิยติ ต้องการทำปัญญาให้เป็นขึ้น ปญฺญา ภาวิตา กิมตฺถมนุโภติ ปัญญาเป็นขึ้นแล้วต้องการอะไร ยา อวิชฺชา สา ปหียติ ความไม่รู้จริงอันใดที่มีอยู่กับจิตใจ ความไม่รู้จริงอันนั้นหมดไปด้วยความเห็นแจ้ง คือวิปัสสนา
ทางพระพุทธศาสนามีวิชชา ๒ อย่างนี้แหละเป็นข้อสำคัญนัก บัดนี้ท่านทั้งหลายที่เสียสละเวลามา ก็เพื่อมาเรียนสมถวิปัสสนา
ทั้ง ๒ อย่างนี้ สมถะเป็นวิชชาเบื้องต้น พุทธศาสนิกชนต้องเอาใจใส่ คือ แปลความว่าสงบระงับใจ เรียกว่าสมถะ วิปัสสนาเป็นขั้นสูงกว่าสมถะ ซึ่งแปลว่าเห็นแจ้ง เป็นธรรมเบื้องสูง เรียกว่าวิปัสสนา สมถะ วิปัสสนา ๒ อย่างนี้ เป็นธรรมอันสุขุมลุ่มลึกในทางพระพุทธศาสนา ผู้พูดนี้ได้ศึกษามาตั้งแต่บวช พอบวชออกจากโบสถ์แล้วได้วันหนึ่ง รุ่งขึ้นวันหนึ่งก็เรียนทีเดียว เรียนสมถะทีเดียว ไม่ได้หยุดเลยจนกระทั่งถึงบัดนี้ บัดนี้ทั้งเรียนด้วย ทั้งสอนด้วย ในฝ่ายสมถวิปัสสนาทั้ง ๒ อย่างนี้
สมถะมีภูมิแค่ไหน สมถะมีภูมิ ๔๐ กสิณ ๑๐ อสุภะ ๑๐ อนุสสติ ๑๐ อาหาเรปฏิกูลสัญญา จตุธาตุววัตถาน รูปฌาน ๔ อรูปฌาน ๔ ทั้ง ๔๐ นี้ เป็นภูมิของสมถะ
วิปัสสนามีภูมิ ๖ ขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ อินทรีย์ ๒๒ อริยสัจ ๔ ปฏิจจสมุปบาทธรรม ปฏิจจสมุปบาทธรรม ธรรมอาศัยซึ่งกันและกันเกิดขึ้นดับไป ธรรมอาศัยซึ่งกันเกิดขึ้น นี้เป็นภูมิของวิปัสสนา
ภูมิสมถะ ภูมิวิปัสสนา ทั้ง ๒ นี้ เป็นตำรับตำราในทางพระพุทธศาสนาได้ใช้กันสืบมา แต่ภูมิของสมถะที่เราจะพึงเรียนต่อไป เริ่มต้นต้องทำใจให้หยุด จึงจะเข้าภูมิของสมถะได้ ถ้าทำใจหยุดไม่ได้ก็เข้าภูมิสมถะไม่ได้ สมถะเขาแปลว่าสงบ แปลว่าระงับ แปลว่าหยุด แปลว่านิ่ง ต้องทำใจให้หยุด
ใจของเราน่ะอะไรที่เรียกว่าใจ เห็นอย่างหนึ่ง จำอย่างหนึ่ง คิดอย่างหนึ่ง รู้อย่างหนึ่ง ๔ อย่างนี้ รวมเข้าเป็นจุดเดียวกัน นั่นแหละเรียกว่าใจ อยู่ที่ไหน อยู่ในเบาะน้ำเลี้ยงหัวใจ คือ ความเห็นอยู่ที่ท่ามกลางกาย ความจำอยู่ท่ามกลางเนื้อหัวใจ ความคิดอยู่ท่ามกลางดวงจิต ความรู้อยู่ท่ามกลางดวงวิญญาณ เห็น จำ คิด รู้ ๔ ประการนี้ หมดทั้งร่างกาย ส่วนเห็นเป็นต้นของรู้ ส่วนจำเป็นต้นของเนื้อหัวใจ ส่วนคิดเป็นต้นของดวงจิต ส่วนรู้เป็นต้นของดวงวิญญาณ
ดวงวิญญาณ เท่าดวงตาดำข้างใน อยู่ในกลางดวงจิต ดวงจิต เท่าดวงตาดำข้างนอก อยู่ในกลางเนื้อหัวใจ ดวงจำ กว้างออกไปอีกหน่อยหนึ่ง เท่าดวงตาทั้งหมด ดวงเห็น อยู่ในกลางกาย โตกว่าดวงตาออกไป นั่นเป็น ดวงเห็น ดวงเห็นนั่นแหละ ธาตุเห็นมันอยู่ศูนย์กลางดวงนั้น นั่นแหละเรียกว่าเห็น เห็นมันอยู่ในธาตุเห็นนั่น ดวงจำ ธาตุจำมันอยู่ในศูนย์กลางดวงนั้น ความจำอยู่ที่นั่น ดวงคิด ธาตุคิดมันอยู่ศูนย์กลางดวงนั้น ดวงรู้ ธาตุรู้มันอยู่ศูนย์กลางดวงนั้น เห็น จำ คิด รู้ ๔ อย่างนี้แหละ เอาเข้ามารวมจุดเดียวกันเรียกว่าใจ ของยากอย่างนี้ เห็นไหมล่ะ
คำที่เรียกว่า ใจ นั่นแหละ เวลานี้ เรานั่งอยู่นี่ สอดไปถึงบ้านก็ได้ สอดไปถึงนรกก็ได้ สอดไปถึงสวรรค์ก็ได้ สอดไปถึงนิพพานก็ได้ สอดใจไปได้ มันลึกซึ้งอย่างงั้นเห็นไหมล่ะใจ ถ้าว่ามันรู้แคบมันก็สอดไปได้แคบ ถ้ารู้กว้างสอดไปได้กว้าง รู้ละเอียดสอดไปได้ละเอียด รู้หยาบสอดไปได้หยาบ แล้วแต่ความรู้ของมัน ความเห็นของมัน สำคัญนัก
คำที่เรียกว่า ใจ นี่แหละ เราต้องบังคับให้หยุดเป็นจุดเดียวกัน เห็น จำ คิด รู้ ๔ อย่าง ต้องมารวมหยุดเป็นจุดเดียวกันอยู่กลางกายมนุษย์ มาหยุดเป็นจุดเดียวกันอยู่กลางกายมนุษย์ สะดือทะลุหลัง ขวาทะลุซ้าย กลางกั๊กข้างใน สะดือทะลุหลังเป็นด้ายกลุ่มไปเส้นหนึ่ง ตึง ขวาทะลุซ้ายเป็นด้ายกลุ่มไปเส้นหนึ่ง ตรงกัน ตึง ตึงทั้ง ๒ เส้น ตรงกลางมาจรดกัน ที่กลางจรดกันนั่นแหละเรียกว่ากลางกั๊ก กลางกั๊กนั่นแหละ ถูกกลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ ใสบริสุทธิ์ เท่าฟองไข่แดงของไก่ ถูกกลางดวงพอดี ที่สอนให้เอาพระของขวัญไปจรดไว้ที่กลางดวงนั้น กลางกั๊กนั่นแหละ เราเอาใจของเราไปจรดอยู่กลางกั๊กนั้น เห็น จำ คิด รู้ ๔ อย่าง จรดอยู่กลางกั๊กนั่น กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์นั่น มีที่ตั้งแห่งเดียวเท่านั้น ใจ เขาบอกว่าตั้งใจนะ เราจะต้องเอาใจไปหยุดตรงนั้นทีเดียว ถึงจะถูกเป้าหมายใจดำ เขาบอกว่าตั้งใจนะ เวลานี้เองจะทำบุญทำกุศล เราก็ต้องตั้งใจตรงนั้น บัดนี้เราจะรักษาศีล ก็ต้องตั้งใจตรงนั้น บัดนี้เราจะเจริญภาวนาละ เราก็ต้องตั้งใจตรงนั้นเหมือนกัน ต้องเอาใจไปหยุดตรงกลางนั้น เมื่อเอาใจไปหยุดอยู่กลางนั่นแล้วล่ะก็ ใช้สัญญาจำให้มั่น หยุดนิ่ง บังคับให้นิ่งเชียว ถ้าไม่นิ่งก็ต้องใช้บริกรรมภาวนาบังคับไว้ บังคับให้ใจหยุด บังคับหนักเข้า หนักเข้า หนักเข้า พอถูกส่วนเข้า ใจหยุด นิ่ง ใจหยุด หยุด พอใจหยุดเท่านั้นละ ถูกตัวสมถะแล้ว นั่นแหละตัวสมถะน่ะ ไอ้หยุดนั่นแหละ หยุดนั่นเองเป็นตัวสำเร็จ ทางโลกและทางธรรมสำเร็จหมด โลกที่จะได้รับความสุขก็ใจต้องหยุด ตามส่วนของโลก ธรรมที่จะได้รับความสุขก็ต้องหยุด ตามส่วนของธรรม ท่านได้แนะนำไว้ตามวาระพระบาลีว่า นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ สุขอื่นนอกจากหยุดจากนิ่งไม่มี สุขอื่นนอกจากหยุดจากนิ่งไม่มี
หยุดอันนั้นเองเป็นตัวสำคัญ เพราะเหตุนั้นต้องทำใจให้หยุด เมื่อใจของเราหยุดแล้ว เราก็ต้องหยุดในหยุด หยุดในหยุด ไม่มีถอยหลังกลับ ไม่มีถอยหลัง หยุดในหยุด หยุดในหยุด หยุดในหยุดอยู่นั่นเอง ใจหยุด ใจหยุดต้องถูกกลางนะ ถ้าไม่ถูกกลางใช้ไม่ได้ ต้องหยุดเข้าสิบ เข้าศูนย์ เข้าส่วน ถูกสิบ ถูกศูนย์ ถูกส่วน ถ้าหยุดกลางกายเช่นนั้นถูกสิบ พอถูกสิบเท่านั้นไม่ช้าจะเข้าถึงศูนย์ พอถูกสิบเท่านั้นไม่ช้าจะเข้าถึงศูนย์ พอถูกสิบแล้วก็จะเข้าถึงศูนย์ทีเดียว โบราณท่านถึงได้พูดกันว่า
เห็นสิบแล้วเห็นศูนย์ เป็นเค้ามูลสืบกันมา
เที่ยงแท้แน่นักหนา ตั้งอนิจจาเป็นอาจิณ
จุติแล้วปฏิสนธิ ย่อมเวียนวนอยู่ทั้งสิ้น
สังขาราไม่ยืนยิน ราคีสิ้นเป็นตัวมา
สิบ ศูนย์ นี้เป็นตัวสำคัญนัก สัตว์โลกจะเกิดในโลกได้ก็ต้องอาศัยเข้าสิบแล้วตกศูนย์จึงเกิดได้ ถ้าเข้าสิบไม่ตกศูนย์แล้วก็เกิดไม่ได้ นี่โลกกับธรรมต้องอาศัยกันอย่างนี้ ส่วนทางธรรมเล่าต้องเข้าสิบ เข้าสิบแล้วก็ตกศูนย์ ตกศูนย์คือใจหยุด พอใจหยุดนั่นเรียกว่าเข้าสิบแล้ว เห็นเป็นดวงใสเท่าดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ ผุดขึ้นที่ใจหยุดนั่นแหละ นั่นตกศูนย์แล้ว เข้าสิบแล้ว เห็นศูนย์แล้ว นั่นน่ะเรียกว่า เข้าสิบแล้วเห็นศูนย์ พอเห็นศูนย์ก็ใจหยุดอยู่กลางศูนย์นั่นเทียว กลางดวงใส เท่าดวงจันทร์ดวงอาทิตย์นั่น ดวงนั้นแหละ เรียกว่า ดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน หรืออีกนัยหนึ่ง ดวงนั้นแหละเรียกว่า ปฐมมรรค หนทางเบื้องต้นมรรคผลนิพพาน จะไปสู่มรรคผลนิพพานต้องเข้ากลางดวงนั้น แห่งเดียว ไปได้ทางเดียว ทางอื่นไม่มี เมื่อเข้ากลางดวงศูนย์นั่นได้แล้ว เรียกว่า ปฐมมรรค นัยหนึ่ง อีกนัยหนึ่งดวงนั้นแหละ เรียกว่า เอกายนมรรค แปลว่าหนทางเอก ไม่มีโท สองไม่มี แปลว่าหนทางหนึ่ง สองไม่มี หนึ่งทีเดียว ดวงนั้นแหละเรียกว่า ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน เป็นทางไปของพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ทั้งหมดในสากลโลกในสากลธรรม พระพุทธเจ้าพระอรหันต์จะเข้าไปสู่นิพพานต้องไปทางนี้ทางเดียว ทางไม่ซ้ำกัน ไม่มีทางแตกแยกจากกัน ไปแนวเดียวทางเดียวกันหมด แต่ว่าการไปนั้น บางท่านเร็ว บางท่านช้า ไม่เหมือนกัน คำที่ว่าไม่เหมือนกันนี่แหละ ถึงจะได้ชื่อว่าไม่ซ้ำกัน คำว่าไม่ซ้ำกันน่ะ เพราะเร็วกว่ากันช้ากว่ากัน แล้วแต่นิสัยวาสนาของตัวที่สั่งสมอบรมไว้ แต่ว่า ทางไปนั้นเป็นทางเดียวกันหมด
เป็นเอกายนมรรค หนทางเส้นเดียว เมื่อจะไปต้องหยุด นี่ก็แปลก ทางโลกเขาไปละก็ต้องเร็วเข้า ขึ้นเรือบินรถยนต์ไปทีเดียว มันถึงจะเร็ว มันถึงจะถึง ทางธรรมไม่ใช่เช่นนั้น ถ้าว่าเมื่อจะไปล่ะต้องหยุด พอหยุดล่ะจึงจะเร็ว จึงจะถึง นั่นเรื่องแปลกอย่างนี้ ต้องเอาใจหยุดนั่นเองจึงจะเร็วจึงจะถึง ต้องเอาใจหยุด
หยุดอยู่กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ หยุดทีเดียว พอหยุดถูกส่วนเห็นดวงใส ดวงใสนั้นแหละเรียกว่า เอกายนมรรค หรือเรียกว่า ปฐมมรรค หรือเรียกว่า ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน เท่าดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ ใจก็หยุดนิ่งอยู่กลางดวงนั้น พอหยุดนิ่งถูกส่วนเข้าเท่านั้น หยุดในหยุด หยุดในหยุด หยุดในหยุด พอถูกส่วนเข้าเท่านั้น หยุดในหยุด กลางของหยุด หยุดในหยุด กลางของหยุด เรื่อยเข้าไป เห็นดวงอีกดวงหนึ่ง เท่า ๆ กัน อยู่กลางดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐานนั่น เรียกว่า ดวงศีล หยุดอยู่กลางดวงศีลนั่น พอถูกส่วนเข้า เห็นอีกดวงหนึ่ง เท่า ๆ กัน เรียกว่า ดวงสมาธิ หยุดอยู่กลางดวงสมาธินั่น พอถูกส่วนเข้า เห็นอีกดวงหนึ่งเรียกว่า ดวงปัญญา ดวงเท่า ๆ กัน หยุดอยู่กลางดวงปัญญานั่น พอถูกส่วนเข้า เห็นอีกดวง เรียกว่า ดวงวิมุตติ ใสละเอียดหนักลงไป หยุดอยู่กลางดวงวิมุตตินั่น พอถูกส่วนเข้า เห็นอีกดวง เรียกว่า ดวงวิมุตติญาณทัสสนะ หยุดอยู่กลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะนั่น อยู่ที่เดียวกัน ถูกส่วนเข้า เห็นตัวกายมนุษย์ของเราที่นอนฝันออกไป ที่ไปเกิดมาเกิด เขาเรียกว่า กายมนุษย์ละเอียด พอเราไปเห็นเข้าเท่านั้น อ้อ กายนี้ เวลาฝันเราเคยเห็น เคยไปกับมัน มันไปทำกิจหน้าที่ฝัน เวลาตื่นแล้วไม่รู้มันไปอยู่ที่ไหน บัดนี้เรามาเห็นแล้ว ก็อยู่กลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะนั่นเอง
เมื่อเห็นแล้วก็ ให้กายมนุษย์ละเอียดนั่น นั่งเข้าเหมือนกายมนุษย์หยาบข้างนอกนี่ มันก็นั่ง เมื่อนั่งถูกส่วนเข้าแล้ว ใจมนุษย์ละเอียด ก็หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ละเอียด หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ละเอียด พอถูกส่วนเข้า หยุดถูกส่วนเข้าเท่านั้นแหละ เห็นดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน หยุดอยู่กลางดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน พอถูกส่วนเข้าเห็นดวงศีล หยุดอยู่กลางดวงศีล ถูกส่วนเข้าเห็นดวงสมาธิ หยุดอยู่กลางดวงสมาธิ พอถูกส่วนเข้า เห็นดวงปัญญา หยุดอยู่กลางดวงปัญญา ถูกส่วนเข้าเห็นดวงวิมุตติ ดวงเท่า ๆ กัน หยุดอยู่ศูนย์กลางดวงวิมุตติ ถูกส่วนเข้าเห็นดวงวิมุตติญาณทัสสนะ หยุดอยู่กลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะ ถูกส่วนเข้าก็เห็นกายทิพย์
ให้กายทิพย์นั่งแบบเดียวกับกายมนุษย์ละเอียดนั่น ใจของกายทิพย์หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายทิพย์ พอถูกส่วนเข้า เห็นดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน หยุดอยู่ศูนย์กลางดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ถูกส่วนเข้าเห็นดวงศีล หยุดอยู่กลางดวงศีล ถูกส่วนเข้า เห็นดวงสมาธิ หยุดอยู่กลางดวงสมาธิ ถูกส่วนเข้าเห็นดวงปัญญา หยุดอยู่กลางดวงปัญญา ถูกส่วนเข้าเห็นดวงวิมุตติ หยุดอยู่กลางดวงวิมุตติ ถูกส่วนเข้าเห็นดวงวิมุตติญาณทัสสนะ หยุดอยู่กลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะ ถูกส่วนเข้า เห็นกายทิพย์ละเอียด
ใจกายทิพย์ละเอียดก็นิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายทิพย์ละเอียด ถูกส่วนเข้า เห็นดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน หยุดอยู่กลางดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ถูกส่วนเข้า เห็นดวงศีล หยุดอยู่กลางดวงศีล ถูกส่วนก็เห็นดวงสมาธิ หยุดอยู่กลางดวงสมาธิ ถูกส่วนก็เห็นดวงปัญญา หยุดอยู่กลางดวงปัญญา ถูกส่วนก็เห็นดวงวิมุตติ หยุดอยู่กลางดวงวิมุตติ ถูกส่วนก็เห็นดวงวิมุตติญาณทัสสนะ หยุดอยู่กลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะ ถูกส่วนเข้า เห็นกายรูปพรหม
ใจกายรูปพรหมก็นิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายรูปพรหม ก็หยุดอยู่กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายรูปพรหม พอถูกส่วนเข้า เห็นดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ใจกายรูปพรหมเมื่อหยุดอยู่ที่ศูนย์กลางดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐานแล้ว ถูกส่วนเข้า เห็นดวงศีล หยุดอยู่กลางดวงศีล ถูกส่วน ก็เห็นดวงสมาธิ หยุดอยู่กลางดวงสมาธิ ถูกส่วน ก็เห็นดวงปัญญา หยุดอยู่กลางดวงปัญญา ถูกส่วน ก็เห็นดวงวิมุตติ หยุดอยู่กลางดวงวิมุตติ ถูกส่วน ก็เห็นดวงวิมุตติญาณทัสสนะ หยุดอยู่กลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะ ถูกส่วนเข้า เห็นกายรูปพรหมละเอียด
ใจกายรูปพรหมละเอียดหยุดอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายรูปพรหมละเอียด ถูกส่วน ก็เห็นดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน หยุดอยู่กลางดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ถูกส่วน ก็เห็นดวงศีล หยุดอยู่กลางดวงศีล ถูกส่วน ก็เห็นดวงสมาธิ หยุดอยู่กลางดวงสมาธิ ถูกส่วน ก็เห็นดวงปัญญา หยุดอยู่กลางดวงปัญญา ถูกส่วน ก็เห็นดวงวิมุตติ หยุดอยู่ศูนย์กลางดวงวิมุตติ ถูกส่วน ก็เห็นดวงวิมุตติญาณทัสสนะ หยุดอยู่กลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะ ถูกส่วนเข้า ก็เห็นกายอรูปพรหม
ใจกายอรูปพรหมหยุดอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายอรูปพรหม พอถูกส่วน ก็เห็นดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน หยุดอยู่กลางดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ถูกส่วน ก็เห็นดวงศีล หยุดอยู่กลางดวงศีล ถูกส่วน ก็เห็นดวงสมาธิ หยุดอยู่กลางดวงสมาธิ ถูกส่วนก็เห็นดวงปัญญา หยุดอยู่กลางดวงปัญญา ถูกส่วน ก็เห็นดวงวิมุตติ หยุดอยู่กลางดวงวิมุตติ ถูกส่วน ก็เห็นดวงวิมุตติญาณทัสสนะ หยุดอยู่กลางดวงวิมุตติญาณสนะ ถูกส่วนเข้า ก็เห็นกายอรูปพรหมละเอียด
ใจกายอรูปพรหมละเอียด หยุดอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายอรูปพรหมละเอียด ถูกส่วน ก็เห็นดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน หยุดอยู่กลางดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ถูกส่วน ก็เห็นดวงศีล หยุดอยู่กลางดวงศีล ถูกส่วน ก็เห็นดวงสมาธิ หยุดอยู่กลางดวงสมาธิ ถูกส่วน ก็เห็นดวงปัญญา หยุดอยู่กลางดวงปัญญา ถูกส่วน ก็เห็นดวงวิมุตติ หยุดอยู่กลางดวงวิมุตติ ถูกส่วน ก็เห็นดวงวิมุตติญาณทัสสนะ หยุดอยู่กลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะ ถูกส่วนเข้า ก็เห็นกายธรรม รูปเหมือนพระปฏิมากร เกตุดอกบัวตูม ใสเป็นกระจกส่องเงาหน้า หน้าตักโตเล็กตามส่วน หน้าตักเท่าไหน ดวงธรรมที่ทำให้เป็นธรรมกายโตเท่านั้น กลมรอบตัว อยู่กลางกายธรรมกายนั่น ธรรมกายน่ะเป็นตัวพุทธรัตนะ ดวงธรรมที่ทำให้เป็นธรรมกายน่ะเป็นธรรมรัตนะ
ใจพุทธรัตนะน่ะก็หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นธรรมกาย พอหยุดถูกส่วนเข้า เห็นดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐานเท่ากับดวงธรรม หยุดอยู่กลางดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ถูกส่วนเข้า เห็นดวงศีล หยุดอยู่กลางดวงศีล ถูกส่วน ก็เห็นดวงสมาธิ หยุดอยู่กลางดวงสมาธิ ถูกส่วน ก็เห็นดวงปัญญา หยุดอยู่กลางดวงปัญญา ถูกส่วน ก็เห็นดวงวิมุตติ หยุดอยู่กลางดวงวิมุตติ ถูกส่วน ก็เห็นดวงวิมุตติญาณทัสสนะ หยุดอยู่กลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะ ถูกส่วนเข้า ก็เห็นกายธรรมละเอียด โตกว่าธรรมกายที่เห็นแล้วนั้น ๕ เท่า โตกว่า ๕ เท่า
ใจกายธรรมละเอียดก็หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นธรรมกายละเอียด ถูกส่วนเข้า เห็นดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ขยายส่วนโตหนักขึ้นไป ใจก็หยุดนิ่งอยู่ที่ศูนย์กลางดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ถูกส่วน ก็เห็นดวงศีล หยุดอยู่กลางดวงศีล ถูกส่วน ก็เห็นดวงสมาธิ หยุดอยู่กลางดวงสมาธิ ถูกส่วน ก็เห็นดวงปัญญา หยุดอยู่กลางดวงปัญญา ถูกส่วน ก็เห็นดวงวิมุตติ หยุดอยู่กลางดวงวิมุตติ ถูกส่วน ก็เห็นดวงวิมุตติญาณทัสสนะ หยุดอยู่กลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะ ถูกส่วนเข้า ก็เห็นกายธรรมพระโสดา หน้าตัก ๕ วา สูง ๕ วา เกตุดอกบัวตูม ใสหนักขึ้น
ใจกายพระโสดาก็หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายพระโสดา ถูกส่วน ก็เห็นดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน หยุดอยู่กลางดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ถูกส่วน ก็เห็นดวงศีล หยุดอยู่กลางดวงศีล ถูกส่วนเข้า เห็นดวงสมาธิ หยุดอยู่กลางดวงสมาธิ ถูกส่วน ก็เห็นดวงปัญญา หยุดอยู่กลางดวงปัญญา ถูกส่วน ก็เห็นดวงวิมุตติ หยุดอยู่กลางดวงวิมุตติ ถูกส่วน ก็เห็นดวงวิมุตติญาณทัสสนะ หยุดอยู่กลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะ ถูกส่วนเข้า ก็เห็นกายพระโสดาละเอียด อยู่ในกลางดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐานของพระโสดานั้น หน้าตัก ๑๐ วา
ใจของพระโสดาละเอียด ก็หยุดนิ่งอยู่ที่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายพระโสดาละเอียด ถูกส่วนเข้า เห็นดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ถูกส่วน ก็เห็นดวงศีล หยุดอยู่กลางดวงศีล ถูกส่วน ก็เห็นดวงสมาธิ หยุดอยู่กลางดวงสมาธิ ถูกส่วน ก็เห็นดวงปัญญา หยุดอยู่กลางดวงปัญญา ถูกส่วน ก็เห็นดวงวิมุตติ หยุดอยู่กลางดวงวิมุตติ ถูกส่วน ก็เห็นดวงวิมุตติญาณทัสสนะ หยุดอยู่กลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะ ถูกส่วนเข้า ก็เห็นกายพระสกทาคา หน้าตัก ๑๐ วา สูง ๑๐ วา เกตุดอกบัวตูม ใสหนักขึ้น
ใจพระสกทาคาก็หยุดอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นพระสกทาคา ถูกส่วน ก็เห็นดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน หยุดอยู่กลางดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ถูกส่วนเข้า เห็นดวงศีล หยุดอยู่กลางดวงศีล ถูกส่วน ก็เห็นดวงสมาธิ หยุดอยู่กลางดวงสมาธิ ถูกส่วน ก็เห็นดวงปัญญา หยุดอยู่กลางดวงปัญญา ถูกส่วน ก็เห็นดวงวิมุตติ หยุดอยู่กลางดวงวิมุตติ ถูกส่วน ก็เห็นดวงวิมุตติญาณทัสสนะ หยุดอยู่กลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะ ถูกส่วนเข้า ก็เห็นกายพระสกทาคาละเอียด หน้าตัก ๑๕ วา สูง ๑๕ วา เกตุดอกบัวตูม ใสหนักขึ้น
ใจของพระสกทาคาละเอียดหยุดอยู่กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นพระสกทาคาละเอียด ถูกส่วน ก็เห็นดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน หยุดอยู่กลางดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ถูกส่วน ก็เห็นดวงศีล หยุดอยู่กลางดวงศีล ถูกส่วน ก็เห็นดวงสมาธิ หยุดอยู่กลางดวงสมาธิ ถูกส่วน ก็เห็นดวงปัญญา หยุดอยู่กลางดวงปัญญา ถูกส่วน ก็เห็นดวงวิมุตติ หยุดอยู่กลางดวงวิมุตติ ถูกส่วน ก็เห็นดวงวิมุตติญาณทัสสนะ หยุดอยู่กลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะ ถูกส่วนเข้า ก็เห็นกายพระอนาคา หน้าตัก ๑๕ วา สูง ๑๕ วา เกตุดอกบัวตูม ใสหนักขึ้น
ใจของพระอนาคาก็หยุดนิ่งอยู่กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นพระอนาคา ถูกส่วนเข้า เห็นดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน หยุดอยู่ที่ศูนย์กลางดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ถูกส่วน ก็เห็นดวงศีล หยุดอยู่กลางดวงศีล ถูกส่วน ก็เห็นดวงสมาธิ หยุดอยู่กลางดวงสมาธิ ถูกส่วน ก็เห็นดวงปัญญา หยุดอยู่กลางดวงปัญญา ถูกส่วน ก็เห็นดวงวิมุตติ หยุดอยู่กลางดวงวิมุตติ ถูกส่วน ก็เห็นดวงวิมุตติญาณทัสสนะ หยุดอยู่กลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะ ถูกส่วนเข้า ก็เห็นกายพระอนาคาละเอียด หน้าตัก ๒๐ วา สูง ๒๐ วา เกตุดอกบัวตูม ใสหนักขึ้น
ใจของพระอนาคาละเอียดก็หยุดอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นพระอนาคาละเอียด ถูกส่วนเข้า เห็นดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน หยุดอยู่กลางดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ถูกส่วน ก็เห็นดวงศีล หยุดอยู่กลางดวงศีล ถูกส่วน ก็เห็นดวงสมาธิ หยุดอยู่กลางดวงสมาธิ ถูกส่วน ก็เห็นดวงปัญญา หยุดอยู่กลางดวงปัญญา ถูกส่วน ก็เห็นดวงวิมุตติ หยุดอยู่กลางดวงวิมุตติ ถูกส่วน ก็เห็นดวงวิมุตติญาณทัสสนะ หยุดอยู่กลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะ ถูกส่วนเข้า เห็นกายพระอรหัต หน้าตัก ๒๐ วา สูง ๒๐ วา เกตุดอกบัวตูม ดวงธรรมที่ทำให้เป็นพระอรหัต ก็ ๒๐ วา กลมรอบตัว
ใจพระอรหัตก็หยุดอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นพระอรหัต ถูกส่วนเข้า เห็นดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน วัดผ่าเส้นศูนย์กลาง ๒๐ วา กลมรอบตัวเหมือนกัน หยุดอยู่กลางดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ถูกส่วน ก็เห็นดวงศีล วัดผ่าเส้นศูนย์กลาง ๒๐ วา กลมรอบตัวเหมือนกัน หยุดอยู่กลางดวงศีล ถูกส่วน ก็เห็นดวงสมาธิ วัดผ่าเส้นศูนย์กลาง ๒๐ วา กลมรอบตัวเหมือนกัน หยุดอยู่กลางดวงสมาธิ ถูกส่วน ก็เห็นดวงปัญญา วัดผ่าเส้นศูนย์กลาง ๒๐ วา กลมรอบตัวเหมือนกัน หยุดอยู่กลางดวงปัญญา ถูกส่วน ก็เห็นดวงวิมุตติ วัดผ่าเส้นศูนย์กลาง ๒๐ วา กลมรอบตัวเหมือนกัน หยุดอยู่กลางดวงวิมุตติ ถูกส่วน ก็เห็นดวงวิมุตติญาณทัสสนะ วัดผ่าเส้นศูนย์กลาง ๒๐ วา กลมรอบตัวเหมือนกัน หยุดอยู่กลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะ ถูกส่วนเข้า เห็นกายพระอรหัตละเอียด สวยงามมาก นี่เป็นกายที่ ๑๘
เมื่อถึงพระอรหัตนี้แล้ว หลุดกิเลสหมด ไม่มีกิเลสเลย เสร็จกิจในพระพุทธศาสนา ทั้งสมถวิปัสสนาตลอด ตั้งแต่กายมนุษย์ถึงกายอรูปพรหมละเอียด แค่นั้นเรียกว่าขั้นสมถะ ตั้งแต่กายธรรมโคตรภูทั้งหยาบทั้งละเอียดจนกระทั่งถึงกายพระอรหัตทั้งหยาบทั้งละเอียด นี้ขั้นวิปัสสนาทั้งนั้น
ที่เรามาเรียนสมถวิปัสสนาวันนี้ ต้องเดินแนวนี้ ผิดแนวนี้ไม่ได้ และก็ต้องเป็นอย่างนี้ ผิดอย่างนี้ไปไม่ได้ ผิดอย่างนี้ไปก็เลอะเหลว ต้องถูกแนวนี้ เราจะต้องยึดกายมนุษย์นี่เป็นแบบ เข้าไปถึงกายมนุษย์ละเอียด ยึดกายมนุษย์ละเอียดนั่นเป็นแบบ เข้าไปถึงกายทิพย์ ต้องยึดกายทิพย์นั่นเป็นแบบ เข้าถึงกายทิพย์ละเอียด ต้องยึดกายทิพย์ละเอียดเป็นแบบ จะโยกโย้ไปไม่ได้ เข้าไปถึงกายรูปพรหม ต้องยึดกายรูปพรหมเป็นแบบ เข้าถึงกายรูปพรหมละเอียด ต้องยึดกายรูปพรหมละเอียดเป็นแบบ ไปเข้าถึงกายอรูปพรหม ยึดกายอรูปพรหมเป็นแบบ เข้าถึงกายอรูปพรหมละเอียด ยึดกายอรูปพรหมละเอียดเป็นแบบ เข้าถึงกายธรรม ยึดกายธรรมเป็นแบบ นี่ ที่ปั้นไว้เป็นรูปพระปฏิมากรในโบสถ์วิหารการเปรียญนี่ เค้าทำแบบไว้นี่ เข้าถึงกายธรรมละเอียด ยึดกายธรรมละเอียดเป็นแบบ เข้าถึงกายธรรมพระโสดา ยึดกายธรรมพระโสดาเป็นแบบ เข้าถึงกายธรรมพระโสดาละเอียด ยึดกายพระโสดาละเอียดเป็นแบบ เข้าถึงกายธรรมพระสกทาคา ยึดกายพระสกทาคาเป็นแบบ เข้าถึงกายธรรมพระสกทาคาละเอียด ยึดกายธรรมพระสกทาคาละเอียดเป็นแบบ เข้าถึงกายธรรมพระอนาคา ยึดกายธรรมพระอนาคาเป็นแบบ เข้าถึงกายพระอนาคาละเอียด ยึดธรรมกายละเอียดของพระอนาคาเป็นแบบ เข้าถึงกายพระอรหัต ยึดธรรมกายของพระอรหัตเป็นแบบ เข้าถึงกายพระอรหัตละเอียด ยึดธรรมกายพระอรหัตละเอียดเป็นแบบ
นี้เป็นหลักฐานในพุทธศาสนา ในสมุดที่ได้แจกกันทั่ว ๆ หน้านั้น ๑๘ รูปหน้าปึ๊งที่อธิบายมานี้ ๑๘ รูปหน้าปึ๊งนับดูได้
ตั้งแต่กายมนุษย์มา ๑ ๒ กายมนุษย์ละเอียด
๓ กายทิพย์ ๔ กายทิพย์ละเอียด
๕ กายรูปพรหม ๖ กายรูปพรหมละเอียด
๗ กายอรูปพรหม ๘ กายอรูปพรหมละเอียด
๙ กายธรรม ๑๐ กายธรรมละเอียด
๑๑ กายพระโสดา ๑๒ กายพระโสดาละเอียด
๑๓ กายพระสกทาคา ๑๔ กายพระสกทาคาละเอียด
๑๕ กายพระอนาคา ๑๖ กายพระอนาคาละเอียด
๑๗ กายพระอรหัต ๑๘ กายพระอรหัตละเอียด
ที่อธิบายมาแล้วนี้ หน้าปึ๊งที่แจกไปแล้วทุกคนนั้น นี่แหละหลักปฏิบัติพุทธศาสนา ต้องแน่นอนจับตัววางตายอย่างนี้ ไม่เลอะเลือนเหลวไหล แต่ว่าจะไปทางนี้ต้องหยุด ทางธรรมเริ่มต้นต้องหยุด ตั้งแต่ต้นจนกระทั่งพระอรหัต ถ้าไม่หยุดละก็ไปไม่ได้ ชัดทีเดียว แปลกไหมล่ะ ไปทางโลกเขาต้องไปกันปราดเปรียวว่องไวคล่องแคล่ว ต้องเล่าเรียนกันมากมาย จนกระทั่งรู้เท่าทันเหลี่ยมคูผู้คนตลอดสาย จึงจะปกครองโลกให้รุ่งเรืองเจริญได้ แต่ว่าไปทางธรรมนี่แปลก หยุดเท่านั้นแหละไปได้ หยุดอันเดียวเท่านั้น เรื่องนี้พูดเอาเองหรือมีตำรับตำราอย่างไร มีตำรับตำรา
เมื่อครั้งพระบรมศาสดามีพระชนม์อยู่ ในเมืองสาวัตถี มีพราหมณ์ปุโรหิตและนางพราหมณี เป็นปุโรหิตของพระเจ้าปเสนทิโกศล คลอดบุตรออกมาคนหนึ่ง เวลาคลอดออกมาแล้ว กลางคืน ศาสตราอาวุธในบ้านน่ะมันลุกเป็นไฟไปหมด พ่อเป็นพราหมณ์เฒ่าด้วย เป็นพราหมณ์ครูพระเจ้าแผ่นดินด้วย ตระหนกตกใจ นี่มันเรื่องอะไรกัน ตรวจโหราพุทธาเฒ่าตำรับตำราดู โอ้! ลูกชายเราเกิดมานี่จะเป็นคนร้าย จะเป็นโจรร้าย จะฆ่ามนุษย์มากมาย รู้ทีเดียวด้วยตำราของเขา มีโอกาสไปทูลพระเจ้าปเสนทิโกศล “พระพุทธเจ้าข้า ลูกของข้าพระพุทธเจ้าคลอดออกมา จะต้องเป็นคนฆ่ามนุษย์เสียแล้ว จะฆ่ามนุษย์มากด้วย จะควรเอาไว้หรือจะปลงชีวิตเสียเป็นประการใด ขอพระองค์ได้ทรงพระกรุณา ข้าพระพุทธเจ้าขอมอบถวายชีวิตแด่พระองค์ บุตรของข้าพระพุทธเจ้า” ฝ่ายพระเจ้าปเสนทิโกศลก็คิดว่า ไอ้เด็กเล็กนิดเดียวมันจะเป็นอะไร แต่ว่าเกรงใจพราหมณ์ เคารพพราหมณ์ นับถือพราหมณ์ด้วย เพื่อจะเอาอกเอาใจพราหมณ์ด้วย ก็รู้เหมือนกัน พราหมณ์พูดแล้วไม่ค่อยจะผิด ก็ตะขิดตะขวงใจอยู่เหมือนกัน “เอาไว้ดูก่อนเถอะแก ท่านพราหมณ์ มันเด็กคนเดียวหรอก เมื่อเปลี่ยนแปลงไปยังไง เราจะฆ่าเมื่อไหร่มันก็ฆ่าได้ มันจะไปไหน เราปกครองทั้งประเทศ” พูดให้พราหมณ์ใจดีเสียหน่อย พราหมณ์ก็ตามพระทัย เอาไว้ โตขึ้น โตขึ้นเมื่อพราหมณ์รู้ว่าไอ้นี่มันจะฆ่าคน เบียดเบียนสัตว์มากนัก นี่จะทำยังไง ให้ชื่อซะ ให้ชื่อว่า อหิงสกุมาร กุมารไม่เบียดเบียนใคร ชื่ออหิงสกุมาร กุมารไม่เบียดเบียนใคร และจริงอย่างนั้นด้วย ตั้งแต่เล็กมามันดีนักดีหนาทีเดียว พ่อแม่ก็รักใคร่ พระเจ้าปเสนทิโกศลก็รักใคร่ ร่ำเรียนวิชาความรู้ในทางราชการในทางบ้านเมืองเขาน่ะ ไม่แพ้ใคร ปัญญาดีเฉลียวฉลาดว่องไว เรียนศาสตราอาวุธ เรียนมวย ไม่แพ้ใคร เฉลียวฉลาดดีนัก เมื่อได้วิชาสมควรแล้วก็ต่อไปจะต้องเป็นคนใช้ของพระราชา เพราะพ่อเป็นปุโรหิตของพระราชาอยู่แล้ว ต้องไปเรียนวิชาให้สูง เรียกว่าวิชาปกครองแผ่นดินปกครองประเทศ ส่งไปเรียนทิศาปาโมกขอาจารย์ ทิศาปาโมกขอาจารย์น่ะมีลูกศิษย์ถึง ๕๐๐
พราหมณ์ปุโรหิตผู้นี้ เมื่อส่งลูกไปเรียนเช่นนั้น ก็มอบให้กับอาจารย์ทิศาปาโมกขอาจารย์ ทิศาปาโมกขอาจารย์ได้รับมอบอหิงสกุมารไว้ ก็สอนเป็นอันดิบอันดีอย่างกะลูกกะเต้า ได้ใกล้เคียงอหิงสกุมาร อหิงสกุมารฉลาด ฉอเลาะดีนักทีเดียว เข้าใกล้ครูละก็ ทุกอย่าง ทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งใจ หาที่ติไม่ได้ ฉอเลาะดีนัก อาจารย์รักใคร่ เรียนวิชาก็ไม่แพ้ใคร เฉลียวฉลาดทุกอย่าง กำลังร่างกายก็ดี สวยงามก็สวยงาม แต่ว่าอาจารย์หลง ทั้ง ๕๐๐ คน รักอหิงสกุมารมากกว่าใคร ๆ ลูกศิษย์ทั้ง ๔๙๙ คน ไม่ได้การ ถ้าเราไม่ฆ่าอหิงสกุมารเสียล่ะพวกเราโงไม่ขึ้นละ มันกดหัวเราหมด เราจะต้องฆ่ามันเสีย ไว้ไม่ได้ คนโน้นบ้างคนนี้บ้างช่วยกัน หาเรื่องใส่เจ้า ยั่วเจ้าบ้าง เย้าเจ้ามั่ง พอเจ้าเกะกะเข้าฟ้องอาจารย์ พอเจ้าเกะกะเข้าฟ้องอาจารย์ หาว่าเกะกะ หนักเข้า ๆ มันมากเรื่องหนักเข้า อาจารย์เห็นด้วยว่ามันดีแต่ต่อหน้าเรา พ้นเราไปล่ะมันข่มเหงเขาอย่างนี้ รุกรานเขาอย่างนี้ แท้ที่จริงมันไปแหย่เข้า มันปั่นขึ้น มันปลุกขึ้น มันแก้ไขให้ชั่วน่ะ มันก็ฟ้องอาจารย์อยู่เสมอ มันหนาหูเข้าแล้ว ลงท้ายจนกระทั่ง ไอ้ลูกศิษย์คนนี้เอาไว้ไม่ได้ เดือดร้อนนัก มันก็พร้อมกัน ลูกศิษย์เหล่านั้น มันก็เรียนต่ออาจารย์ให้เอาไว้ไม่ได้ เมื่อเอาไว้ไม่ได้ อาจารย์ก็จะต้องฆ่า อาจารย์ฆ่าจะทำไง ฆ่าลูกศิษย์เสียชื่อสิ ทิศาปาโมกขอาจารย์ ลูกศิษย์เป็นพระเจ้าแผ่นดินน่ะมากมาย แล้วพวกเหล่านั้นเป็นกษัตริย์ก็มาก ไปเรียนวิชาน่ะ ถ้าว่าฆ่าลูกศิษย์ละก็ เสียชื่อครูทีเดียว จะทำยังไงล่ะ ฆ่าทางอ้อม
เรียนวิชาไป พอถึงวิชาบทหนึ่ง ปิดหน้าสมุดทีเดียว ปิดหน้าปึ๊ง หน้าตำราปิด ลูกศิษย์ก็ถาม “ทำไมถึงปิดซะท่านอาจารย์ ผมจะศึกษาต่อไป” “ไม่ได้ล่ะแกเรื่องนี้ ตรงนี้ละก็ มันเป็นวิชาเรียนเข้าแล้ว เมื่อสำเร็จแล้วละก็ มันเป็นเจ้าโลกเชียวนะแก ถ้าจะเรียนกันจริง ๆ ในวิชานี้ละก็ ต้องเอานิ้วมือมนุษย์ องคุลีของมนุษย์มา ๑,๐๐๐ องคุลี จึงจะเรียนได้” นี่จะหาอุบายฆ่าลูกศิษย์ละนะ ๑,๐๐๐ องคุลีน่ะจึงจะเรียนได้ ลูกศิษย์ก็หมดท่า
ต้องหยุด ก็พูดกัน ยังไง ท่านจะหาองคุลีมาสัก ๑,๐๐๐ องคุลีได้ไหมล่ะ ก็พูดกัน ถ้าจะต้องได้มันต้องฆ่ามนุษย์กัน ฆ่ามนุษย์ไป ฆ่าไปมันไม่ทันถึง ๑,๐๐๐ หรอก มนุษย์คนใดคนหนึ่งมันก็จะฆ่าตัวเสียมั่ง มันจะเอาไว้ทำไม มนุษย์มันมากด้วยกันนี่ สำเร็จแน่ อาจารย์นึกว่า ไอ้นี่เขาต้องถูกฆ่าแน่ เราไม่ต้องฆ่าล่ะ ใช้มือคนอื่นฆ่าเถอะ นี่เหลี่ยมของครูฆ่าลูกศิษย์
อหิงสกุมารน่ะคอตก เราเกิดมาในตระกูลพราหมณ์ เป็นครูสอนเขามา บาปกรรมไม่ได้ทำเลย มีศีลบริสุทธิ์ตลอดมาตั้งแต่เกิดจนถึงบัดนี้ ความชั่วนิดหน่อยไม่ได้กระทำ คราวนี้เรามาเรียนวิชา คราวนี้จะต้องฆ่ามนุษย์เสียแล้ว ถ้าไม่ฆ่ามนุษย์วิชาเราก็ไม่สำเร็จ ก็พูดกับอาจารย์ ตกลง ถ้าจะต้องฆ่ามนุษย์ก็ได้นิ้วมือมา ๑,๐๐๐ ได้องคุลีมาพันหนึ่งจึงจะเรียนสำเร็จ ตกลงรับปากท่านอาจารย์ ร้องไห้เสียใจ เศร้าโศกเสียใจ ต้องเป็นคนลามกเลวทรามฆ่ามนุษย์ละ เป็นคนใจบาปหยาบช้าฆ่ามนุษย์ละ เสียอกเสียใจ ร้องไห้พิไรรำพันนัก ถึงอย่างใด ถ้าว่าไม่เอานิ้วมือมาให้อาจารย์พันหนึ่ง ไม่เอาองคุลีของมนุษย์มาให้อาจารย์พันหนึ่ง ท่านก็ไม่บอกวิชาสำเร็จให้เรา เมื่อเราเรียนวิชาไม่สำเร็จ เราก็เป็นคนชั้นสูงไม่ได้ เป็นเจ้าโลกไม่ได้ ต้องเรียนวิชาสำเร็จจึงเป็นเจ้าโลกได้ เพราะฉะนั้น การเรียนวิชาใด ๆ เราจะต้องใช้วิชานั้น ๆ ได้นะ ถ้าเรียน ใช้วิชานั้น ๆ ไม่ได้ละก็จะเรียนทำไม เสียเวลาเปล่า ๆ เสียข้าวสุก ต้องเรียนวิชาไหนต้องใช้วิชานั้นได้ล่ะ เอาละพึ่งได้ เอาล่ะนั่นแหละวิชานั้นใช้ได้ เหมือนยังกับเราเรียนวิชาวันนี้ เราจะต้องเรียนจริงทำจริง ต้องพึ่งวิชาที่เราเรียนนี่แหละให้ได้ ให้ศักดิ์สิทธิ์ทีเดียว ครูใช้ได้อย่างไงเราจะใช้ได้เหมือนครู อย่างนี้เรียกว่าคนมีปัญญา เรียกว่าคนฉลาด เหมือนองคุลีมาลโจร
เมื่อเวลาอหิงสกุมารตกลงต้องเรียนแน่ ก็รับอาจารย์ว่า “เอา! ผมจะยอมเรียน ยอมหาองคุลีมนุษย์ให้พันหนึ่ง” อาจารย์ก็ส่งฟ้าฟื้นให้ ดาบเล่มถนัดเชียว “นี่เอาไป” ท่านอหิงสกุมารนั่นก็หยักรั้งตั้งท่าเชียว ออกจากอาจารย์แล้วก็หาเครื่องร้อยเครื่องอะไรไปเสร็จเชียว ติดตัวไป เครื่องแทงนิ้วเครื่องอะไรน่ะไปเสร็จเชียว พอออกจากท่านอาจารย์ก็ พบใครก็ช่างเถอะ เปรี๊ยะ! คอขาด เปรี๊ยะ! แขนขาด ขาดครึ่งตัว ตัดเอาองคุลีไป องคุลีหนึ่ง ๆ ๆ ใครขวางไม่ได้ พบไม่ได้ ไม่ว่าคนไหนเลยทีเดียว ไม่ว่ามนุษย์คนใด ไม่ว่าชั้นสูงชั้นกลางชั้นต่ำ รูดหมด ฆ่าเสียจนกระทั่งเล่าลือ จนกระทั่งระบือลือเลื่องไปว่าในเมืองสาวัตถีนั้น มีโจรสำคัญคือองคุลีมาลโจร ไอ้ที่เรียกว่าองคุลีมาลโจรน่ะ เพราะนิ้วได้มาแล้วร้อยเข้า ตากแห้งแล้วคล้องคอไป ตากแห้งแล้วก็คล้องคอไป นับเรื่อย นับนิ้วเรื่อย เป็นเหมือนวณิพก กว่าจะครบพัน ได้ ๙๙๙ แล้ว เรื่องถึงพระเจ้าปเสนทิโกศล ได้ ๙๙๙ นิ้ว
เรื่องถึงพระเจ้าปเสนทิโกศล ให้กรีฑาทัพยกไปปราบองคุลีมาลโจร ธรรมเนียมกษัตริย์ของโบราณเราน่ะ เมื่อกษัตริย์ต่อกษัตริย์ไปพบกัน ต้องรำทวนกัน กษัตริย์ต่อกษัตริย์ด้วยกันต้องรำกระบี่รำทวนกัน ต้องฟาดฟันกันเอง ใครดีก็ดีไป ใครไม่ดีก็คอขาดไป ไม่ใช่ใช้ทหารรบกันเหมือนธรรมดาในบัดนี้นะ เมื่อเจอจะปะกันเข้าล่ะก็ กษัตริย์ต้องรำทวนเองทั้งนั้น เอาฝีมือกษัตริย์ทั้งนั้น เอาฝีมือตัวเองทั้งนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศลก็ท้อพระทัย เอ๊ะ! นี่เราไปปราบองคุลีมาลโจรตอนนี้ จะต้องไปรำกระบี่กับมัน ต้องไปรำทวนกะมัน เมื่อมันเกิดมา ศาสตราอาวุธมันก็ลุกเป็นฟืนเป็นไฟ ไอ้เราไม่มีอัศจรรย์เหมือนอย่างกะมันนี่ เมื่อไปรำทวนเข้าแล้ว คอเราจะขาดหรือคอมันจะขาดเราก็ยังไม่รู้ ไม่แน่พระทัย ก็ท้อพระทัย ยกทัพ รุ่งเช้าจะรบ ยกทัพไป คิดว่าเมื่อยกทัพไปแล้วไม่ตรงไปทีเดียวหรอก ไปพักใกล้ ๆ ข้างวิหารเชตวันก่อน ไปทูลพุทธเจ้าเสียก่อน
นางพราหมณีผู้เป็นมารดา พอรู้ว่าพระเจ้าปเสนทิโกศลจะยกทัพ ว่าเราจะล่วงหน้าไปเสียก่อน จะไปบอกลูกชายเราเสียก่อนให้หนีไปเสีย ไม่เช่นนั้นพระเจ้าปเสนทิโกศลจะฆ่าเสีย พระพุทธเจ้ารู้ ถ้านางพราหมณีไป องคุลีมาลโจรเห็นเข้าก็ฆ่านางพราหมณีเสีย ฆ่าแม่เสีย เอานิ้วเสียอีก ถึงจะเป็นแม่เป็นพ่อไม่เข้าใจล่ะ ใกล้ล่ะแกเป็นฆ่าเลยทีเดียว แกจะเอานิ้ว แกมุ่งเรียนวิชาเท่านั้น แกไม่ได้มุ่งอะไรล่ะ พระพุทธเจ้าก็รู้ องคุลีมาลโจรนี้เป็นอสีติมหาสาวกองค์สุดท้ายของเรา ถ้าหากฆ่ามารดาเสียแล้วเป็นอภัพพสัตว์ ไม่ได้มรรคผลชาตินี้ เราขาดอัครสาวกไป ไม่ครบ ๘๐ ได้ ๗๙ เท่านั้น เราจำเป็นหน้าที่จะต้องไปทรมานองคุลีมาลโจร สอดส่องด้วยพระญาณทราบชัดก็เสด็จก่อนใคร ๆ ทั้งหมดไปถึงองคุลีมาลโจร องคุลีมาลโจรพอเห็นเข้าเท่านั้นแหละ อ้าย! นิ้วมันงามจริง วิชาเราเป็นเจ้าโลกแน่ สำเร็จแน่ เจ้านิ้วนี้ พอเห็นพระศาสดาก็ ทั้งพระรูปทั้งพระรัศมี ทั้งงดทั้งงามทุกสิ่ง ดูไม่เบื่อ น่าเลื่อมใสน่าไหว้น่าบูชาทั้งนั้น ก็คาดว่าสำเร็จแน่ พอคาดว่าสำเร็จแน่ก็ลู่ใส่ทีเดียว คว้าฟ้าฟื้นได้ ลู่ใส่ พอลู่ใส่ ปราดเข้าฟัน พอปราดเข้าฟันล่ะ พรืด ห่างออกไป ๒๐–๓๐ วา เอาละซิ ตอนนี้ห่างออกไปเสียแล้ว วิ่งอีก องคุลีมาลโจรออกตึก ๆ ๆ ไม่ได้รอละ จี๋เชียว จี๋ก็โจนฟัน โจนฟัน พรืด ออกไปอีก ห่างเข้า ๔๐–๕๐ วา ไปใหญ่ไปอีก ห่างหนักขึ้นทุกที เอ้าวิ่งหนักเข้า ๆ ใกล้จะทัน วิ่งช้า ๆ ละ ดูจะใกล้จะทันละ พอใกล้จะทัน พอจะฟันก็ละ พรืด ห่างออกไปเสียเท่านั้นอีกแล้ว เท่าไหร่ ๆ ก็ฟันไม่ได้ ฟันไม่สำเร็จ เมื่อฟันจนกระทั่งหืดขึ้นคอ เหนื่อยเต็มที พอเหนื่อยเต็มทีก็ทำไงล่ะ คิดว่า นี่เขาเป็นเจ้าโลกก่อนเรา เราไม่ใช่เจ้าโลกแน่ เห็นจะเป็นไม่ได้ บุญไม่เท่า ไม่เท่าทันเขาแล้ว ท้อในใจ พอท้อใจ ใจมันก็ลด มันก็หมดทิฏฐิมานะ มันยอมจำนนพระองค์ เมื่อยอมจำนนพระองค์แล้วก็เปล่งวาจาว่า “สมณะหยุด สมณะหยุด” พระองค์ทรงเหลียวพระพักตร์มา “สมณะหยุดแล้ว ท่านไม่หยุด”
แน่ะ คำว่าหยุดอันนี้น่ะ ถูกตั้งแต่ต้นจนเป็นพระอรหัต คำว่าหยุดอย่างนี้แหละ คำเดียวเท่านี้แหละ หยุด ถูกทางสมณะตั้งแต่ต้นจนพระอรหัต เพราะฉะนั้นตัวศาสนาแท้ ๆ เชียว ไอ้คำว่าหยุด อันนี้แหละ เพราะฉะนั้น ต้องเอาใจหยุดศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ หยุดทีเดียว นั่นแหละ หยุดนั่นแหละถูกเป้าหมายใจดำ ถูกโอวาทของพระบรมศาสดา ถ้าไม่หยุดละก็จะปฏิบัติศาสนาไปสัก ๔๐–๕๐ ปีก็ช่าง ที่สุดจะมีอายุสัก ๑๐๐ กว่า ๑๒๐-๑๓๐ ปฏิบัติไปสัก ๑๐๐ ปี ถ้าใจหยุดไม่ได้ หยุดเข้าสิบเข้าศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ไม่ได้ ไม่ถูกศาสนาสักที ต่อเมื่อใดหยุดได้ละก็ถูกศาสนาทีเดียว ถูกพระโอษฐ์ของพระศาสดาทีเดียว ให้จำให้แม่นนะแง่นี้นะ เพราะเราที่ปฏิบัติมาแล้วนี่มันยังไม่ถูกนะ เข้าร่องรอยศาสนามันยังไม่ถูก วันนี้ล่ะจะเข้าร่องรอยพระศาสนา จะเรียนสมถะ จะทำใจให้หยุดล่ะ จะเข้าช่องนั้น วิธีทำใจให้หยุดดังแสดงแล้วนั้นนะ ถ้าหยุดแล้วละก็ตั้งแต่ต้นจนพระอรหัตทีเดียว นี้แหละทางไปของพระพุทธศาสนา
องคุลีมาลโจร เมื่อหยุด พระองค์ก็ทรงแก้ไข แสดงธรรมะ องคุลีมาลโจรก็ได้สำเร็จมรรคผล พระองค์ก็นำเอามาบวชซะทีเดียว นำเอามาไว้ในวิหารเชตวัน เวลาเช้า พระเจ้าปเสนทิโกศลกรีฑาทัพไปพัก ยกทัพไปใกล้วิหารเชตวัน พักอยู่ข้างนอกวิหาร ตัวเข้าไปในวิหาร ไปทูลถามพระบรมศาสดา ไปเฝ้าพระบรมศาสดาว่า “ข้าพระพุทธเจ้าจะต้องอำลาไปปราบองคุลีมาลโจร” ไปทูลพระบรมศาสดา พระบรมศาสดาเรียกองคุลีมาลโจรมา บวชเสียแล้ว ให้ออกมา พอออกมาก็ “นี่หรือ พระองค์จะทรงไปปราบองคุลีมาลโจรคนนี้ใช่ไหม” พระเจ้าปเสนทิโกศลพอเห็นเข้าแล้ว หัวเราะก๊ากตีปีกเชียว “นี่แหละพระพุทธเจ้า” ตีปีกชอบอกชอบใจ ไม่ต้องไปปราบ พระองค์ปราบมาเสียแล้ว ทำไม ก็กลัวชีวิตอยู่เหมือนกัน เหตุนั้น นี่เป็นนัยที่พระองค์รับสั่งให้นัย คำเดียวตั้งแต่ต้นจนพระอรหัตเชียวนะ จำไว้ให้มั่นนะ ไม่ใช่คำลอย ๆ คำมีหลักฐานอย่างนี้ จำไว้ให้แม่นนะ เอ้าต่อแต่นี้ก็ส่งเครื่องบูชาให้เขานำไปจุด จุดแล้วจะได้บูชากันต่อไป ฉันจะสอนให้บูชาต่อไปนะ
ในอันดับต่อแต่นี้ไป ให้ท่านทั้งหลายพึงตั้งใจ จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย เมื่อเสร็จแล้วจะได้บูชากันต่อไป จะสอนให้ว่า ท่านทั้งหลายจงว่าตามดังนี้
ยะมะหัง สัมมาสัมพุทธัง, ภะคะวันตัง สะระณัง คะโต (ชาย), คะตา (หญิง), อิมินา สักกาเรนะ, ตัง ภะคะวันตัง อะภิปูชะยามิ
ข้าพเจ้าบูชาบัดนี้, ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า, ผู้ตรัสรู้แล้วเองโดยชอบ, ซึ่งข้าพเจ้าถึง, ว่าเป็นที่พึ่ง, กำจัดทุกข์ได้จริง, ด้วยสักการะนี้
ยะมะหัง สะวากขาตัง, ภะคะวะตา ธัมมัง สะระณัง คะโต (ชาย), คะตา (หญิง), อิมินา สักกาเรนะ, ตัง ธัมมัง อะภิปูชะยามิ
ข้าพเจ้าบูชาบัดนี้, ซึ่งพระธรรม, อันพระผู้มีพระภาคเจ้า, ตรัสดีแล้ว, ซึ่งข้าพเจ้าถึง, ว่าเป็นที่พึ่ง, กำจัดภัยได้จริง, ด้วยสักการะนี้
ยะมะหัง สุปะฏิปันนัง, สังฆัง สะระณัง คะโต (ชาย), คะตา (หญิง), อิมินาสักกาเรนะ, ตัง สังฆัง อะภิปูชะยามิ
ข้าพเจ้าบูชาบัดนี้, ซึ่งพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดี, ซึ่งข้าพเจ้าถึง, ว่าเป็นพึ่ง, กำจัดโรคได้จริง, ด้วยสักการะนี้
อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา, พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ (กราบ)
สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม, ธัมมัง นะมัสสามิ (กราบ)
สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, สังฆังนะมามิ (กราบ)
บูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไหว้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เสร็จแล้ว ต่อแต่นี้ไปตั้งใจให้แน่แน่ว ขอขมาโทษงดโทษต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่เราได้พลาดพลั้งลงไปแล้วด้วยกาย วาจา ใจ ตั้งแต่เด็กเล็กยังไม่รู้จักเดียงสา มาจนกระทั่งถึงบัดนี้ ขอขมาโทษงดโทษแล้ว กาย วาจา ใจ ของเราจะได้เป็นของบริสุทธิ์ สมควรเป็นภาชนะรับรองพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในอดีต ปัจจุบัน อนาคตสืบต่อไป
ก่อนที่จะขอขมาโทษงดโทษพระรัตนตรัย พึงนอบน้อมพระรัตนตรัยด้วยปณามคาถา คือ นะโม ๓ หน หนที่ ๑ นอบน้อมพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ในอดีต นะโมหนที่ ๒ นอบน้อมพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในปัจจุบัน นะโมหนที่ ๓ นอบน้อมพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ในอนาคต ทั้งหมดด้วยกัน ต่างคนต่างว่า นะโม ดังๆ พร้อมกัน ๓ หน นะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (๓ หน)
อุกาสะ, อัจจะโย โน ภันเต, อัจจัคคะมา, ยะถา พาเล, ยะถา มุฬเห, ยะถา อะกุสะเล, เย มะยัง กะรัมหา, เอวัง ภันเต มะยัง, อัจจะโย โน, ปะฏิคคัณหะถะ, อายะติง สังวะเรยยามิ
ข้าพระพุทธเจ้าขอวโรกาส, ได้พลั้งพลาดด้วยกาย วาจา ใจ, ในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์, เพียงไร, แต่ข้าพระพุทธเจ้า, เป็นคนพาลคนหลง, อกุศลเข้าสิงจิต, ให้กระทำความผิด, ต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์, ขอพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์, จงงดความผิดทั้งหลายเหล่านั้น, แก่ข้าพระพุทธเจ้า, จำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป, ข้าพระพุทธเจ้าจักขอสำรวมระวัง, ซึ่งกายวาจาใจ, สืบต่อไปในเบื้องหน้า
กาย วาจา ใจ ของเราเป็นของบริสุทธิ์ ต่อแต่นี้ จะได้อาราธนาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในอดีต ปัจจุบัน อนาคต เข้าสิงสถิตย์ในกาย วาจา จิต สืบต่อไปนะ
อุกาสะ, ข้าพระพุทธเจ้าขออาราธนา, สมเด็จพระพุทธเจ้า, ที่ได้ตรัสรู้ล่วงไปแล้ว, ในอดีตกาลมากกว่าเมล็ดทรายในท้องพระมหาสมุทรทั้ง ๔, และสมเด็จพระพุทธเจ้า, อันจักได้ตรัสรู้, ในอนาคตกาลภายภาคเบื้องหน้า, และสมเด็จพระพุทธเจ้า, ที่ได้ตรัสรู้, ในปัจจุบันนี้, ขอจงมาบังเกิด, ในจักขุทวาร โสตทวาร, ฆานทวาร ชิวหาทวาร, กายทวาร มโนทวาร, แห่งข้าพระพุทธเจ้า, ในกาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด
อุกาสะ, ข้าพระพุทธเจ้าขออาราธนา, พระนพโลกุตรธรรมเจ้า, ๙ ประการ, ในอดีตกาลล่วงลับไปแล้ว, จะนับจะประมาณมิได้, และพระนพโลกุตรธรรมเจ้า, ๙ ประการ, ในอนาคตกาลภายภาคเบื้องหน้า, และพระนพโลกุตรธรรมเจ้า, ๙ ประการ, ในปัจจุบันนี้, ขอจงมาบังเกิด, ในจักขุทวาร โสตทวาร, ฆานทวาร ชิวหาทวาร, กายทวาร มโนทวาร, แห่งข้าพระพุทธเจ้า, ในกาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด
อุกาสะ, ข้าพระพุทธเจ้าขออาราธนา, พระอริยสงฆ์กับสมมติสงฆ์, ในอดีตกาลล่วงลับไปแล้ว, จะนับจะประมาณมิได้, และพระอริยสงฆ์กับสมมติสงฆ์, ในอนาคตกาลภายภาคเบื้องหน้า, และพระอริยสงฆ์กับสมมติสงฆ์, ในปัจจุบันนี้, ขอจงมาบังเกิด, ในจักขุทวาร โสตทวาร, ฆานทวาร ชิวหาทวาร, กายทวาร มโนทวาร, แห่งข้าพระพุทธเจ้า, ในกาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด
ขอเดชคุณพระพุทธเจ้า, คุณพระธรรมเจ้า, คุณพระสงฆ์เจ้า, (ท่านผู้หญิงว่าคุณครูบาอาจารย์นะ) คุณครูอุปัชฌาย์อาจารย์, คุณมารดาบิดา, คุณทานบารมี ศีลบารมี, เนกขัมมบารมี ปัญญาบารมี, วิริยบารมี ขันติบารมี, สัจจบารมี อธิษฐานบารมี, เมตตาบารมี อุเบกขาบารมี, ที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญมา, แต่ร้อยชาติพันชาติ, หมื่นชาติแสนชาติก็ดี, ที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญมา, ตั้งแต่เล็กแต่น้อย, ระลึกได้ก็ดี มิระลึกได้ก็ดี, ขอบุญบารมีทั้งหลายเหล่านั้น, จงมาช่วยประคับประคองข้าพเจ้า, ขอให้ข้าพเจ้าได้สำเร็จมรรคและผล, ในกาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด, นิพพานะปัจจะโย โหตุฯ
วิธีเจริญภาวนา ๑
ต่อแต่นี้ไป คอยตั้งใจฟัง บอกโดยตรงประจำละนะ ทำวัตรอาราธนาเสร็จแล้ว ก็จะบอกวิธีกระทำต่อไป วิธีทำสมถวิปัสสนา ต้องมีบริกรรมภาวนากับบริกรรมนิมิตเป็นคู่กัน วิธีทำสมถวิปัสสนา ต้องมีบริกรรมภาวนากับริกรรมนิมิตเป็นคู่กัน
บริกรรมนิมิตให้กำหนดเครื่องหมายเข้า ใสเหมือนอย่างกับเพชรลูกที่เจียระไนแล้ว ไม่มีขนแมว โตเท่าแก้วตา บริกรรมนิมิตให้กำหนดเครื่องหมายเข้า ใสเหมือนอย่างกับเพชรลูกที่เจียระไนแล้ว ไม่มีขนแมว โตเท่าแก้วตา ผู้หญิงกำหนดเข้าปากช่องจมูกซ้าย ผู้ชายกำหนดเข้าปากช่องจมูกขวา อย่าให้ล้ำให้เหลื่อม ผู้หญิงกำหนดเข้าปากช่องจมูกซ้าย ผู้ชายกำหนดเข้าปากช่องจมูกขวา อย่าให้ล้ำให้เหลื่อม ใจของเราที่ยืดไปยืดมา แวบไปแวบมา ให้เข้าไปอยู่เสียในบริกรรมนิมิต ปากช่องจมูกหญิงซ้ายชายขวา ข้างนอกดวงโตเท่าแก้วตา ข้างในดวงโตเท่าเมล็ดพุทธรักษา ข้างนอกดวงโตเท่าแก้วตา ข้างในดวงโตเท่าเมล็ดพุทธรักษา แต่ว่าใสขาวเหมือนกระจกส่องเงาหน้าแบบเดียวกัน หญิงกำหนดปากช่องจมูกซ้าย ชายกำหนดปากช่องจมูกขวา
แล้วให้บริกรรมภาวนา ประคองบริกรรมนิมิตนั้นไว้ว่า สัมมาอะระหัง ตรึกถึงดวงที่ใส ใจอยู่กลางดวงที่ใส สัมมาอะระหัง ตรึกถึงดวงที่ใส ใจอยู่กลางดวงที่ใสนั่น สัมมาอะระหัง ตรึกถึงดวงที่ใส ใจอยู่กลางดวงที่ใส นิ่งอยู่นั่น นี่ฐานที่ ๑
ฐานที่ ๒ เลื่อนขึ้นไปแค่เพลาตา หญิงอยู่ซีกข้างซ้าย ชายอยู่ซีกข้างขวา ตรงหัวตาที่มูลตาออก ตามช่องลมหายใจเข้าออกข้างใน แล้วให้บริกรรม ประคองเครื่องหมายที่เพลาตานั้นว่าสัมมาอะระหัง สัมมาอะระหัง สัมมาอะระหัง สัมมาอะระหัง ๓ ครั้งแบบเดียวกัน
แล้วเลื่อนเครื่องหมายตรงลำดับเพลาตาเข้าไป กลางกั๊กศีรษะ ข้างใน ไม่ใช่ค่อนซ้ายขวาหน้าหลังล่างบน กลางกั๊กพอดี แล้วบริกรรม ประคองเครื่องหมายที่กลางกั๊กศีรษะข้างในว่า สัมมาอะระหัง สัมมาอะระหัง สัมมาอะระหัง ๓ ครั้ง ตรงนี้มีลัทธิวิธี ต้องกลับตาไปข้างหลัง ให้ตาค้างเหมือนคนชักจะตาย เราหลับตาอยู่ตาช้อนขึ้นข้างบน เหลือบขึ้นข้างบน เหลือบไป เหลือบไป จนกระทั่งค้างแน่น ให้ความเห็นกลับไปข้างหลัง พอกลับไปข้างหลังแล้วก็ค่อยให้เห็นกลับเข้าข้างใน
พอตาเห็นกลับเข้าข้างในก็เลื่อนเครื่องหมายฐานที่ ๓ ไปที่ ๔ ปากช่องเพดานที่รับประทานอาหารสำลัก อย่าให้เหลื่อมให้ล้ำ พอดี แล้วบริกรรมประคองเครื่องหมายในฐานที่ ๔ ปากช่องเพดานที่รับประทานอาหารสำลักว่า สัมมาอะระหัง สัมมาอะระหัง สัมมาอะระหัง ๓ ครั้ง
แล้วก็เลื่อนเครื่องหมาย ไปถึงปากช่องคอ เหนือลูกกระเดือก เหมือนกลางกั๊กปากถ้วยแก้ว ตั้งไว้ปากช่องคอ บริกรรมประคองเครื่องหมายที่ปากช่องคอว่า สัมมาอะระหัง สัมมาอะระหัง สัมมาอะระหัง ๓ ครั้ง
แล้วเลื่อนไปกลางตัว สุดลมหายใจเข้าออก สะดือทะลุหลัง ขวาทะลุซ้าย กลางกั๊กข้างใน ตรงกลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ ที่ใจหยุดนั่นเชียว ตั้งตรงนั้น พอใจจรดเข้าที่ดวงใส ก็ สัมมาอะระหัง สัมมาอะระหัง สัมมาอะระหัง ๓ ครั้ง
ถอยหลังเหนือกลางตัว ๒ นิ้ว ตรงนั้นมีศูนย์ ๕ ศูนย์ ศูนย์กลาง หน้า ขวา หลัง ซ้าย กลางอากาศธาตุ หน้าธาตุน้ำ ขวาธาตุดิน หลังธาตุไฟ ซ้ายธาตุลม เครื่องหมายใสสะอาดลอย ช่องอากาศกลาง ตรงนั้นเรียกว่า ศูนย์
ทำไมถึงเรียกว่าศูนย์ตรงนั้น เวลาสัตว์ไปเกิดมาเกิดแล้วก็มาอยู่ในที่สิบ อยู่ในกลางดวงนั้น กายละเอียดอยู่ในกลางดวงนั้น พ่อแม่ไปประกอบธาตุธรรม ถูกส่วนเข้าแล้วตกศูนย์ทีเดียว พอตกศูนย์ก็ลอยขึ้นมาเหนือกลางตัว ๒ นิ้ว เท่าฟองไข่แดงของไก่ ใสเป็นกระจกส่องเงาหน้า นี่มันจะเกิดล่ะ นี่ศูนย์ ตรงนั้นแหละศูนย์
ศูนย์นั้นเป็นสำคัญนัก จะเกิดมาในมนุษย์โลกก็ต้องเกิดด้วยศูนย์นั้น จะไปนิพพานก็ต้องเข้าศูนย์นั้นไปเหมือนกัน จะไปสู่มรรคผลนิพพานก็ต้องเข้าศูนย์นั้นไปเหมือนกัน แบบเดียวกัน ตายเกิด เดินตรงกันข้าม ถ้าว่าจะเกิดก็เดินนอกออกไป ถ้าว่าจะไม่เกิดก็เดินในเข้าไป กลางเข้าไว้ หยุดเข้าไว้ ไม่คลาดเคลื่อน นี้ตายเกิดอย่างนี้ ให้รู้จักหลักอย่างนี้
เมื่อรู้จักหลักดังนี้แล้วก็ เราก็รู้ทีเดียว รุ่งขึ้นเช้านี่ที่ใจเรา ที่วุ่นวายอยู่นี่ มันทำอะไร มันจะเวียนว่ายตายเกิด ถ้าใจเรานิ่งอยู่ในกลางนั่น มันจะเลิกเวียนว่ายตายเกิด เราก็รู้ตัวของเราอยู่ เราไม่ต้องง้อใคร เรารู้แล้ว เราเรียนแล้ว เราเข้าใจแล้ว เราก็ต้องทำใจของเราให้นิ่ง ให้หยุด ทำใจให้หยุด ทำใจให้หยุดอยู่ศูนย์กลางนั่น ทำใจให้หยุดเชียว พอหยุด ให้หยุดนิ่ง ให้หยุดเชียว หยุดก็เข้ากลางหยุดเชียวนะ กลางของกลาง กลางของกลาง กลางของกลาง กลางของกลาง ซ้ายขวาหน้าหลังล่างบนนอกในไม่ไป กลางของกลาง กลางของกลาง กลางของกลาง กลางของกลาง กลางของกลาง นิ่ง พอถูกส่วนเข้าเท่านั้นแหละ เห็นดวงใสแจ่มบังเกิดขึ้นเท่าดวงจันทร์ดวงอาทิตย์
หยุดอยู่กลางดวงจันทร์ดวงอาทิตย์นั่น หยุดอีก พอหยุดถูกส่วนเข้าเท่านั้นแหละ เกิดขึ้นมาอีกดวงหนึ่งแล้ว เป็นดวงศีล เท่าดวงจันทร์ดวงอาทิตย์เหมือนกัน
หยุดอยู่กลางดวงศีลนั่นแหละ พอถูกส่วนเข้าเท่านั้น เกิดขึ้นอีกดวงแล้ว เรียกว่าดวงสมาธิ เท่าดวงจันทร์ดวงอาทิตย์เหมือนกัน
หยุดอยู่กลางดวงสมาธินั่นแหละ พอถูกส่วนเข้า เกิดขึ้นอีกดวงนึง เท่าดวงจันทร์ดวงอาทิตย์เหมือนกัน เรียกว่า ดวงปัญญา
หยุดอยู่กลางดวงปัญญานั่นแหละ พอถูกส่วนเข้า เกิดขึ้นอีกดวง เรียกว่า ดวงวิมุตติ
หยุดอยู่กลางดวงวิมุตตินั่นแหละ ถูกส่วนเข้า เกิดขึ้นอีกดวง เรียกว่า ดวงวิมุตติญาณทัสสนะ
หยุดอยู่กลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะนั่นแหละ พอถูกส่วน ก็เห็นตัวของเราที่ไปเกิดมาเกิด อ้อไอ้นี่เองไปเกิดมาเกิด เข้าแบบต้นแล้ว ที่ได้เล่าให้ฟัง ให้รู้จักหลักอย่างนี้นะ ไม่เคลื่อนล่ะ อย่างนี้เคลื่อนไม่ได้ทีเดียว ตายตัวเชียว
ที่บริกรรมว่า สัมมาอะระหัง ก็เพื่อจะประคองใจให้หยุด สัมมาอะระหัง สัมมาอะระหัง สัมมาอะระหัง สัมมาอะระหัง สัมมาอะระหัง สัมมาอะระหัง พอถูกส่วนก็ ใจหยุดกึ๊กอยู่กลางดวงนั้น มืดก็อยู่ตรงนั้น สว่างก็อยู่ตรงนั้น ไม่ต้องถอยไปถอยมา นิ่งอยู่ตรงนั้นแหละ พอนิ่งถูกส่วนเข้าก็มืด ก็หนักเข้าก็เห็นดวงใส สว่างก็เห็นดวงใส ใจก็อยู่กลางดวงใส ถ้าว่ามันไม่นิ่ง มันไม่หยุด มันซัดส่ายไป บริกรรมซอมไว้ สัมมาอะระหัง สัมมาอะระหัง สัมมาอะระหัง สัมมาอะระหัง สัมมาอะระหัง พอถูกส่วนเข้าก็หยุด
หยุดแล้วไม่ต้องบริกรรม เพ่งเฉย หยุดแล้วไม่ต้องบริกรรม เพ่งเฉย ดูนิ่ง ขยับเขยื้อน หรือเสื่อมหรือขยับไปซะ บริกรรมซอมไว้ สัมมาอะระหัง สัมมาอะระหัง สัมมาอะระหัง สัมมาอะระหัง สัมมาอะระหังไว้ จนกระทั่งหยุดนิ่ง พอหยุดนิ่งแล้วไม่ต้องบริกรรม เพ่งเฉย วางอารมณ์เฉย ให้หยุดอยู่เท่านั้นแหละ หยุดเท่านั้นแหละ อย่าไปนึกถึงมืดสว่างนะ หยุดอยู่เท่านั้นแหละ หยุดนิ่งอยู่เท่านั้นแหละ หยุดนั่นแหละเป็นตัวสำเร็จ ที่บอกแล้ว สมณะหยุด สมณะหยุด พระองค์ให้นัยไว้ว่า สมณะหยุดแล้ว ท่านไม่หยุด นี่หยุดนี่แหละ เรียนตรงนี้แหละ ให้มันได้ตรงนี้ซะก่อน หยุดนี่ซะก่อน อื่นอย่าพึ่งไปพูดมากนักใหญ่โตมโหฬาร พูดหยุดนี่ซะให้มันตกลงกันก่อน เมื่อหยุดได้แล้วสิ ถ้าหยุดได้แล้วก็ เอาล่ะต่อกันไปอีก ให้หยุดก่อนนะ ให้หยุดนิ่ง ให้หยุดเชียว
เราเป็นมนุษย์คนหนึ่ง ทำไม่ได้กับเขาเชียวหรือ ทำไมจะไม่ได้ ทำจริงเข้า ทำไม่จริงต่างหากล่ะ มันไม่ได้ จริงละก็ได้ทุกคน จริงแค่ไหน แค่ชีวิตสิ เนื้อเลือดจะแห้งเหือดหมดไปไม่ว่า เหลือแต่กระดูกหนักช่างมัน ไม่ได้ไม่ลุกจากที่ นี่จริงแค่นี้สิ ได้ทุกคน ฉันเอง ๒ คราว ไม่ได้ตายเถอะ นิ่ง พอถึงกำหนดเข้ามันได้ ไม่ได้ตายเถอะ นิ่ง พอถึงกำหนดมันได้ ไม่ตายซักที พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าก็รูปนั้น ประกอบความเพียรด้วยจาตุรังคะวิริยะ องค์ ๔ เหลือแต่กระดูกหนังช่างมัน เนื้อเลือดจะแห้งเหือดหมดไปไม่ว่า ประกอบด้วยจาตุรังควิริยะอย่างนี้ พอถูกส่วนเท่านั้น เวลาหัวค่ำ ได้บรรลุ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ เวลากลาง เวลายามที่ ๒ ได้บรรลุ จุตูปปาตญาณ เวลายามที่ ๓ ได้บรรลุ อาสวักขยญาณ เล่นตลอดคืน ท่านจริงอย่างนั้นเป็นอาจารย์ เราเป็นลูกศิษย์ก็จริงเหมือนกันแหละ ไม่ได้ยอมตาย ไม่หยุดยอมตายกันทีเดียว เอาหยุดจริง ๆ กัน
พอหยุดเข้าเท่านั้น มันก็จับตัวได้ว่า อ้อ! ทางศาสนาเดินอย่างนี้ ถูกส่วนอย่างนี้ ก็จำให้มั่นเชียวนะ ให้มั่นเชียวนะ สัมมาอะระหัง สัมมาอะระหัง สัมมาอะระหัง สัมมาอะระหัง นิ่ง ให้มั่นคงทีเดียว อย่าให้เคลื่อน