อยู่ในระหว่างการทดสอบการใช้งาน

หิริโอตตัปปะ (เทวธรรม ภาค๑)

หิริโอตตัปปะ ๑

๒๕ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๔๙๙

อิทานิ ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส
ปรินิพฺพานโต ปฏฺฐาย  เอกูนสตจตุสตาธิกานิ เทฺว
สํวจฺฉรสหสฺสานิ อติกฺกนฺตานิ ปจฺจุปนฺนกาลวเสน
ผคฺคุณมาสสฺส ปญฺจวีสติมํ ทินํ วารวเสน ปน โสรวาโร 
โหติ เอวํ ตสฺส ภควโต ปรินิพฺพานา สาสนายุกาลคณนา
สลฺลกฺเขตพฺพา สกฺกจฺจํ ธมฺโม โสตพฺโพติ ฯ                               

        ศุภมัสดุ พระพุทธศาสนายุกาล จำเดิมแต่ปรินิพพานแห่งพระองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น บัดนี้ล่วงแล้วได้ ๒๔๙๙ พรรษา ปัจจุบันสมัยกุมภาพันธมาส สุรทินที่ ๒๕ โสระวาร ของพุทธปรินิพพานอันกำหนดนับ ศาสนายุกาล จำเดิมแต่ปรินิพพานแห่งพระองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น มีนัยอันจะพึงกำหนดนับด้วยประการฉะนี้ เบื้องหน้าแต่นี้จงตั้งสมนาหารจิตฟังธรรมภาษิตดังจะแสดงต่อไปนี้โดยเคารพเทอญ

นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ฯ (๓ หน)

หิริโอตฺตปฺปสมฺปนฺนา    สุกฺกธมฺมสมาหิตา
สนฺโต สปฺปุริสา โลเก    เทวธมฺมาติ วุจฺจเรติ ฯ   

ขุ.ขา.(บาลี) ๒๗/๖/๓

 

          ณ บัดนี้ อาตมภาพจะได้แสดงธรรมอันประเสริฐเรียกว่า หิริโอตตัปปธรรม  ธรรมนี้สำหรับอุปการะสัตว์โลกให้ได้รับความร่มเย็นเป็นสุขไปตาม ๆ กัน ก็เพราะอาศัยธรรมคือหิริโอตตัปปะ นี้เป็นธรรมสำคัญคุ้มครองสัตว์โลก ให้สัตว์โลกร่มเย็นเป็นสุข ไม่กระทบกระเทือน ไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน ไม่เสียดสีซึ่งกันและกัน ไม่ริษยาในกันและกัน ก็เพราะอาศัยหิริโอตตัปปะนี้แหละเป็นข้อสำคัญ นักปราชญ์ทั้งหลายตั้งแต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา ท่านอุบัติตรัสขึ้นในโลก ธรรมอันนี้มีอยู่ก่อนพระพุทธเจ้าอุบัติบังเกิดขึ้น ให้สัตว์ในโลกอาศัยร่มเย็นเป็นสุขก็เพราะอาศัยธรรมนี้ เรียกว่า หิริโอตตัปปธรรม

        สัตว์โลกหมดทั้งสากลโลก หญิงและชายก็ดี ถ้าไม่มีความละอายมีความเกรงกลัวกันแล้ว ย่อมเบียดเบียนซึ่งกันและกันเป็นเบื้องหน้า ไม่ได้รับความสุขไปตามกัน เพราะอาศัยเบียดเบียนซึ่งกันและกัน เบียดเบียนซึ่งกันและกันด้วยกายบ้าง เบียดเบียนซึ่งกันและกันด้วยวาจาบ้าง เบียดเบียนซึ่งกันและกันทางใจบ้าง

          เบียดเบียนซึ่งกันและกันด้วยกายนั้น แสดงวัตถุให้เห็นปรากฏ เมื่อเป็นพ่อค้าแม่ค้าก็รุกรานกันในเชิงการค้านั้น ๆ รุกรานกันในเชิงการค้านั้น ๆ ด้วยกายบ้าง รุกรานในเชิงการค้านั้น ๆ ด้วยวาจาบ้าง นี้ก็เพราะอะไร อาศัยอะไร เพราะปราศจากหิริและโอตตัปปะ ถ้ามีหิริความละอายแก่ใจแล้ว โอตตัปปะความสะดุ้งกลัวอยู่แล้ว ไหนเลยจะเบียดเบียนกันด้วยกายบ้าง ไหนเลยจะเบียดเบียนกันด้วยวาจาบ้าง ไม่กล้าจะทำลงไป เพราะให้ความเดือดร้อนซึ่งกันและกัน เห็นปรากฏเฉพาะหน้าเฉพาะตาเช่นนั้น

          บุคคลผู้มีหิริและโอตตัปปะตั้งอยู่ในเทวธรรม  ธรรมอันประเสริฐเช่นนี้แล้ว ไม่กล้าประพฤติละเมิดเช่นนั้นได้ ทั้งกาย ทั้งวาจา อายนัก ให้ความทุกข์เขาด้วยกายอายนัก ให้ความทุกข์เขาด้วยวาจาก็อายนักเหมือนกัน มีแต่ให้ความสุขกันทางกาย ความสุขกันทางวาจา ไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน การค้าก็ไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน

        แม้ถึงจะเป็นชาวนาเล่า ก็เบียดเบียนกันด้วยกายปรากฏอยู่ รุกคันไร่คันนากันไปตามหน้าที่ เบียดเบียนกันเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้ เหล่านี้ หรือไม่กระนั้นรุกกันปรากฏต่อหน้าต่อตา จนกระทั่งถึงเป็นความกันในโรงในศาล อย่างนี้น่ารำคาญ เพราะคนปราศจากความละอายและความสะดุ้งกลัว ปราศจากหิริและโอตตัปปะ เรียกว่า อหิริตํ อโนตฺตปฺปํ ไม่มีความละอายไม่มีความกลัว หน้าด้านใจด้าน พวกมนุษย์คนพาลแท้ ๆ พวกหิริโอตตัปปะหน้าบางใจบาง หน้าอ่อนใจอ่อน ประพฤติให้ความสุขเขาทั้งข้างนอกข้างใน อย่างนี้เรียกว่า อหิริตํ อโนตฺตปฺปํ พวกที่ให้ความร้อนเดือดร้อนเขาเป็น อหิริตํ อโนตฺตปฺปํ ไม่มีความละอาย ไม่มีความสะดุ้งกลัว พวกมีความละอาย มีความสะดุ้งกลัวนั้น ไม่ให้ความทุกข์เขาทั้งทางกาย วาจา ทั้งข้างในข้างนอก ตลอดถึงใจก็เหมือนกัน การทำนาหรือทำสวนทำไร่ไม่เข้าใจ ให้ความร้อนกันต่อหน้าต่อตาไม่ใช่เช่นนั้น นั่งอยู่ต่อหน้าบ้านใกล้เรือนเคียงกันรุกนิดรุกหน่อยในกันและกันไม่อาย อย่างนี้ให้ความทุกข์กัน พวกอาย ให้ความสุขกัน ไม่ให้ความทุกข์กัน เพราะฉะนั้นต้องมีความละอาย ไม่ใช่แต่เพียงว่าชาวนาชาวสวนหรือพ่อค้าแม่ค้ามาขาย นักปกครองแผ่นดินก็รุกกัน พระเจ้าแผ่นดินองค์ไหนรุกรานผู้อื่นแล้ว พระเจ้าแผ่นดินองค์นั้นเรียกว่า อหิริตํ อโนตฺตปฺปํ ไม่มีความละอาย ไม่มีความสะดุ้งกลัว ให้ความเดือนร้อนแก่เขา ลดชั้นเป็นลำดับลงมาจนกระทั่งถึง ภิกษุสามเณร อุบาสกอุบาสิกา เข้ามาบวชในธรรมวินัยแล้วยังให้ความเดือดร้อนกันด้วยกายด้วย ให้ความเดือดร้อนกันด้วยวาจาด้วย นี้ก็เบียดเบียนกันเหมือนกัน ไม่ได้รับความสุขไปตามกัน เบียดเบียนซึ่งกันและกัน

    ไม่ใช่แต่เท่านั้น เป็นมหาเปรียญเล่าเรียนในโรงเรียนก็เหมือนกัน เบียดเบียนกันด้วยกาย เบียดเบียนกันด้วยวาจา เบียนเบียนกันทางใจ ให้ความทุกข์ให้ความเดือดร้อนในกันและกัน นี่เบียนเบียนทั้งนั้น สามเณรก็ดุจเดียวกัน  หิริตํ โอตฺตปฺปํ ให้มีความละอาย ให้มีความสะดุ้งกลัว นั่นเป็นข้อสำคัญ ความละอายและความสะดุ้งกลัว ไม่เบียดเบียน ให้ความเดือดร้อนคนอื่นด้วยกายไม่มีเลย ให้ความเดือดร้อนคนอื่นด้วยวาจาไม่มีเลย ให้ความเดือนร้อนคนอื่นด้วยใจไม่มีเลย ไม่เบียดเบียนเขาทีเดียวเป็นเด็ดขาด ถ้าว่าอุบาสกอุบาสิกาประพฤติอย่างนี้ สามารถดังนี้แล้วละก็ ให้ความสุขกับตนและบุคคลอื่นด้วย เป็นอุบาสกจริง ๆ เป็นอุบาสิกาจริง ๆ สามเณรเล่า ภิกษุสามเณรเล่า ก็เป็นภิกษุสามเณรจริง ๆ ซื่อตรงต่อพระพุทธศาสนา  อหิริต อโนตฺตปฺป  มีความไม่ละอายความไม่สะดุ้งกลัวเลิกซะ เหลือแต่ความละอายความสะดุ้งกลัว ว่า  หิริตํ โอตฺตปฺปํ มีความละอายความสะดุ้งกลัวอยู่เช่นนี้แล้ว ตั้งใจให้แน่แน่ว นี่เป็นเริ่มต้นการประพฤติปฏิบัติในศาสนา เมื่อตั้งอยู่ใน หิริต โอตฺตปฺป เช่นนี้แล้ว ท่านเชิดชูว่านั่นแหละตั้งอยู่ในธรรมอันขาวแล้ว เกื้อกูลในธรรมอันขาวแล้ว ถูกต้องร่องรอยทางนักปราชญ์ราชบัณฑิตแล้ว

          ท่านยังประสงค์ไปอีก นี้แหละ  สนฺโต เป็นธรรมเครื่องสงบระงับ เครื่องสงบระงับเสียง ไม่มีใครมาโจทนาว่ากล่าว สงบระงับหมด เรื่องราวทั้งหลายเหล่านั้นสงบหมด เงียบหมด เรียบร้อย อยู่บ้านใกล้กันก็ไม่มีเสียง ก็เพราะอาศัยความละอายความสะดุ้งกลัวนี้เข้าค้ำจุนอยู่ เมื่อไม่มีเสียงเช่นนั้นก็ชื่อว่า  สนฺโต เป็นผู้สงบระงับ  โลเก เทวธมฺมา เทวธมฺมาติ วุจฺจเร นักปราชญ์ทั้งหลายย่อมกล่าวว่า นี้เป็นธรรมอันประเสริฐในโลกนี้ด้วยประการดังนี้ นี่หลักจำไว้นะ

          วันนี้จะอรรถาธิบายแปลบาลีเป็นปาฐกต่อไป ให้เราท่านทั้งหลายเข้าใจชัดตลอดแจ้งในการที่จะแสดงต่อไปนี้ เอาละ ว่ากันตามขอบเขต เมื่อเป็นอุบาสกอุบาสิกา เรียกว่า อุปาสโก นั่นแปลว่ากระไร แปลว่าผู้มั่นอยู่ในศีล ๕ มั่นอยู่ในพระรัตนตรัย ศีล ๕ กรรมบท ๑๐ แน่นหนาทีเดียว ไม่ฟั่นเฟือนทีเดียว เรียกว่าอุบาสกเรียกว่าอุบาสิกา ชายมั่นอยู่ในศีล ๕ มั่นอยู่ในกรรมบท ๑๐ นี้ได้ชื่อว่าเป็นอุบาสกแท้ ๆ เบื้องต้นไม่มีพุทธกาล เป็นอุบาสกใช้ได้ มั่นอยู่ในศีล ๕ ถ้าว่าในพุทธศาสนามั่นอยู่ในไตรสรณคมน์ด้วย มั่นอยู่ในศีล ๕ มั่นอยู่ในไตรสรณคมน์ นี้เรียกว่าเป็นอุบาสก ถ้าหญิงก็เรียกว่าเป็นอุบาสิกา แปลเป็นภาษาว่า อุปาสโก แปลว่าผู้เข้าใกล้ หรือผู้ใกล้พระรัตนตรัย มั่นอยู่ในศีล ๕ ศีล ๕ น่ะก็ไม่ขาดตกบกพร่อง เป็นนิจศีลทีเดียว

          เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ตัวเป็นให้จำตาย ไม่ใช้ให้ผู้อื่นฆ่า เห็นว่าการฆ่าสัตว์เป็นเบียดเบียนเขา ผิดขนบธรรมเนียมของคนดี ก็เว้นขาดจากใจเสีย การฉกลักสมบัติของคนอื่นมาเป็นของของตน นี่ก็เป็นหน้าที่ของคนพาล ให้ความทุกข์เขาเป็นเบื้องหน้า เราไม่ปรารถนาจะประพฤติเช่นนั้น ให้ความสุขเขาเป็นเบื้องหน้า เว้นขาดจากการถือเอาพัสดุที่เจ้าของเขาไม่ให้ด้วยอาการแห่งขโมย  ด้วยตนของตน  และไม่ชักชวนบุคคลผู้อื่นด้วย อย่างนี้เรียกว่า มั่นอยู่ในการอทินนาทาน ข้อ ๓ การประพฤติล่วงกาเมสุมิจฉาจาร ประพฤติล่วงลักเขา ลูกเขา เมียเขา สามีเขา ลักให้เจ้าของเดือดร้อนรำคาญ อย่างนี้น่าอัปยศอดสู น่าเกลียดน่าชัง ประพฤติไม่ได้ คนดีประพฤติไม่ได้อายนัก ไม่ประพฤติ ไม่ล่วงในข้อนั้น ๆ ไม่จาบจ้วงล่วงเกินในข้อนั้น ๆ นี้ได้ชื่อว่ามั่นอยู่ในกาเมสุมิจฉาจาร การกล่าวปดไม่จริงหลอกลวงต่าง ๆ นี่เป็นคนเลว ไม่ใช่คนดี เราประพฤติเช่นนั้นไม่ได้ เว้นขาดจากใจเรื่องปด คำที่เรียกว่าปดน่ะรู้นะ ตัวจะกล่าวออกไปตัวก็รู้ว่าไม่จริง แต่ว่าขอไปที จนแต้มเข้าแล้วขอไปที อย่างนี้ไม่ใช่อุบาสก อย่างนี้ไม่ใช่อุบาสิกา เป็นอุบาสกอุบาสิกาจอมปลอมไป นี่ทำให้ศาสนาเสีย เสีย ทำให้ร่องรอยตำรับตำราศีลเสียหมด นี่ปรากฏว่าเป็นคนประทุษร้ายศาสนา ประทุษร้ายศาสนาก็ประทุษร้ายตัวของตัวนั่น ไม่ใช่ประทุษร้ายใคร ให้มั่นอยู่ในไม่พูดปด มั่นทีเดียว ไม่ใช่ให้ผู้อื่นปดด้วย แน่นอนในใจ ข้อที่ ๔ ๕ ไม่ดื่มน้ำที่ทำบุคคลผู้ดื่มให้เมาอันเป็นที่ตั้งของความประมาท ไม่ดื่มน้ำที่ทำบุคคลผู้ดื่มให้เมาอันเป็นที่ตั้งของความประมาท  เว้นขาดจากน้ำที่ทำบุคคลผู้ดื่มให้เมาทีเดียว ไม่ดื่มเหล้า ไม่ดื่มสุราทีเดียว ที่สุดถือเคร่ง ๆ บุหรี่เขาก็ไม่สูบ เห็นว่าเป็นของเมา สังเคราะห์เข้าในเครื่องมึนเมา ไม่เสพทีเดียว

          อย่างนี้ มั่นอย่างนี้ใช้ได้ เรียกว่ามั่นอยู่ในศีล ๕ เมื่อมั่นในศีล ๕ เช่นนี้ ชายเรียกว่าอุบาสก หญิงเรียกว่าอุบาสิกา แต่ยังไม่เต็มที่ ต้องมั่นในพระไตรสรณคมน์ด้วย มั่นอยู่ในไตรสรณคมน์นี้แหละถึงจะต้องการในทางพระพุทธศาสนา มั่นอยู่ในพระไตรสรณคมน์น่ะ หญิงก็เข้าถึงพระไตรสรณคมน์  ชายก็เข้าถึงพระไตรสรณคมน์ เออ ถึงพระไตรสรณคมน์น่ะ ถึงด้วยปาก หรือถึงด้วยใจ หรือถึงด้วยวาจา ถึงด้วยปาก หรือถึงด้วยใจ หรือถึงด้วยกาย ถึงด้วยกาย หรือถึงด้วยวาจา หรือถึงด้วยใจ นึกดูซิ ที่ต้องประสงค์ในพระพุทธศาสนาน่ะ ถึงด้วยกาย ถึงด้วยวาจา ถึงด้วยใจ ถึงด้วยกายน่ะ กายไหว้นบเคารพต่อพระรัตนตรัย รู้ได้ยังไง ว่าคนนี้มั่นอยู่ในพระไตรสรณคมน์แล้ว รู้สิทำไมไม่รู้ รู้ทีเดียวแหละ รู้ทีเดียว ผ่านวิหารลานพระเจดีย์ละก็รู้ทีเดียว กิริยามารยาท เดินก็รู้ จะแสดงมารยาทอย่างใดก็รู้  เดิมดูถูกดูหมิ่นที่เคารพอยู่แล้วละก็ เอ้า นี่เขาไม่มีไตรสรณคมน์หรอก เขาไม่มีเสียแล้วไตรสรณคมน์ แกทำลายของแกเสียแล้ว หรือภิกษุสามเณรที่เป็นเทือกเถาเหล่ากอสมณะเช่นนี้ ไม่ได้เสียหายอย่างหนึ่งอย่างใด อุบาสกอุบาสิกาผ่านภิกษุสามเณรไปไม่มีความเคารพอ่อนน้อม เหล่านี้ได้ชื่อว่าไตรสรณคมน์ก็ไม่มี ยังไม่มีมั่นอยู่ในสันดาน ถ้าว่าแกมีมั่นในสันดานล่ะก็ผ่านพระเจดีย์หรือวิหารหรือพัทธสีมาใด ๆ เข้าไปในสถานที่นั้นสกปรกเปรอะเปื้อนแกทำความสะอาดหมดทีเดียว ไม่ให้สกปรกเปรอะเปื้อนทีเดียว นั่นแกเคารพแกมั่นในพระไตรสรณคมน์ มั่นล่ะ ปฏิบัติวัตรฐากทีเดียว ภิกษุสามเณรก็เคารพนบนอบทีเดียว นี่มั่นอยู่ในพระไตรสรณคมน์ นี่เป็นแต่เพียงว่าขอถึงพระไตรสรณคมน์นะ  เป็นแต่เคารพด้วยกาย เคารพวาจา วาจาก็ต้องสาธุการอยู่ แล้วก็ใจ ใจก็อ่อนน้อมอยู่ เหล่านี้ได้ชื่อว่ามั่นอยู่ในพระไตรสรณคมน์ แต่ว่ายังไม่เข้าถึงไตรสรณคมน์ ยังไม่ได้ไตรสรณคมน์ เป็นแต่มั่นอยู่เพียงเท่านั้นเอง  ต้องให้เข้าถึงไตรสรณคมน์ ให้ได้ไตรสรณคมน์

          ไตรน่ะอะไร ไตรนั้นแปลว่า ๓ สรณะ เขาแปลว่าแก้ว หรือแปลว่าที่พึ่ง แปลว่าแก้ว หรือแปลว่าที่พึ่ง ไตรสรณะ สรณะเขาแปลว่าที่พึ่ง ไตรน่ะแปลว่า ๓  ที่พึ่ง ๓ อย่าง คือ พุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ เข้าถึงพุทธรัตนะ เข้าถึงธรรมรัตนะ เข้าถึงสังฆรัตนะ เป็นชั้น ๆ เข้าไป หลายชั้นจริง ที่เข้าถึงพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะน่ะมันหลายชั้นจริง ไม่ใช่ชั้นเดียวสองชั้น ถึงไม่ใช่ง่าย ถึงยากนัก ถึงยากโดยประการไฉน  ถึงเป็นชั้น ๆ เข้าไป

       ถึงกายมนุษย์นี่ก็ชั้นหนึ่ง ปฏิบัติถูกสัดถูกส่วนเข้า ถึงกายมนุษย์ละเอียด ที่มันนอนฝันออกไป ทำหน้าที่ฝัน พอเลิกฝันมันก็เข้าอยู่ในศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ซะ นั่นกายมนุษย์ละเอียด ให้เข้าถึงกายทิพย์อีก ชั้นที่ ๓ เข้าไป ฝันในฝันเข้าไป ก็ยังไม่ถึงไตสรณคมน์ ให้เข้าถึงกายทิพย์ละเอียดอีก เป็นชั้นที่ ๔ เข้าไป ก็ยังไม่ถึงไตรสรณคมน์ กายใหญ่หนักขึ้นไป เข้าถึงกายรูปพรหมอีกเป็นชั้นที่ ๕ เข้าถึงกายรูปพรหมละเอียดอีกเป็นชั้นที่ ๖ เข้าถึงกายอรูปพรหมอีกเป็นชั้นที่ ๗ เข้าถึงกายอรูปพรหมละเอียดอีกเป็นชั้นที่ ๘ นี่ยังไม่ถึงไตรสรณคมน์ เข้าถึงเป็นลำดับ ยังไม่ถึงไตรสรณคมน์ ยังไม่ได้ไตรสรณคมน์ เป็นแต่มั่น ๆ อยู่เท่านั้นแหละ ต้องให้ได้ไตรสรณคมน์ ถึงพระไตรสรณคมน์ทีเดียว ให้เข้าถึงธรรมกาย รูปเหมือนพระปฏิมากรเกตุดอกบัวตูม ใสเป็นกระจกคันฉ่องส่องเงาหน้า หน้าตักหย่อนกว่า ๕ วา สูง ๕วา หรือหน้าตักเต็ม ๕ วา สูง ๕ วา อย่างนี้ได้ชื่อว่าถึงไตรสรณคมน์ ได้ไตรสรณคมน์ละ ไม่ว่ากลางวันกลางคืน นั่ง นอน เดิน ยืน อิริยาบททั้ง ๔ นึกเวลาไรเห็นแจ่ม ใจก็ติดอยู่ในพระไตรสรณคมน์ พุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะนั่น ให้มั่นลงไปอย่างนั้น ไตรสรณคมน์ชั้นนี้เป็นโคตรภู

          เข้าถึงไตรสรณคมน์อีกชั้นหนึ่ง กายพระโสดา พระโสดาละเอียด กายพระโสดา ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายพระโสดา ดวงธรรมที่ทำให้เป็นพระโสดาละเอียด นี่เป็นชั้นที่ ๒ เข้าไป ชั้นที่ ๓ เข้าไปอีก เข้าถึงกายพระสกทาคา ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายพระสกทาคา กายพระสกทาคาละเอียด เข้าไปชั้นที่ ๔ เข้าไป เข้าไปถึงกายพระอนาคา ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายพระอนาคา กายพระอนาคาละเอียด ชั้นที่ ๕ เข้าไป เข้าถึงกายธรรมพระอรหัต ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายพระอรหัต กายพระอรหัตละเอียด นี่เข้าไปถึง ๕ ชั้น เข้าไปถึงแค่นี้ เรียกว่า ตั้งอยู่ในพระไตรสรณคมน์ ได้พระไตรสรณคมน์

     นี่ในศาสนานิยมอย่างนี้ ไม่ใช่แต่เพียงว่าทำกันเล็ก ๆ น้อย ๆ ละก็ไม่สำเร็จประโยชน์ ไม่ใช่เช่นนั้น เอาจริง ๆ ปฎิบัติจริง ๆ กัน ได้จริง ๆ กัน ถ้าได้จริง ๆ มารไม่ขวาง เหาะเหินเดินอากาศได้จริง ๆ นะ ไม่ใช่ของพอดีพอร้าย เมื่อเราเข้าเนื้อเข้าใจเพียงแค่นี้ จะแสดงหิริโอตตัปปะให้ฟังวันนี้

     หิริโอตฺตปฺปสมฺปนฺนา มีความละอายและความสะดุ้งกลัว ศีล ๕ สิกขาบท ทีละสิกขาบทขึ้นไป ไม่บริสุทธิ์ข้อไหนล่ะอายนักทีเดียว อายตัวเองนะไม่ได้อายใครนะ ไม่บริสุทธิ์ข้อไหนล่ะอายนัก อายตัวเองนักทีเดียว อายนัก ไม่ล่วงละเมิด ล่วงละเมิดเข้าข้อใดข้อหนึ่งล่ะอายนัก ต้องรีบหาครูบาอาจารย์ต่อเสียทีเดียว ล่วงล้ำไปข้อใดข้อหนึ่งละก็ ไม่นิ่งเฉยอยู่ล่ะ บอกตรง ๆ ทีเดียวอายนัก ต่อเสียทีเดียว ต่อเสียให้ได้ ถ้าไม่ต่อ กลัว ศีล ๕ บกพร่องไป จะไปนรกแล้วแก ไม่ต้องไปไหนล่ะ ตายแกต้องไปตกนรกละ บกพร่องข้อใดข้อหนึ่ง ปาณาติบาต อทินนาทานา กาเมฯ มุสาฯ สุราฯ ข้อใดข้อหนึ่งบกพร่องจะต้องไปนรกทุกข้อเชียว

    ขาดข้อปาณาติบาตก็ต้องไปสัญชีพละ ไม่ต้องไปไหนละ ขาดแค่อทินนาทานแกจะต้องไปกาฬสุตตนรกล่ะ ไม่ต้องไปไหนละ ขาดแค่กาเมสุมิจฉาจารก็ต้องไปสังฆาตนรกละ ๓ ข้อละ แกขาดแค่มุสาฯ ลงไป แกต้องไปโรรุวนรกละ แกขาดแค่สุราฯ ลงไป แกต้องมหาโรรุวนรกละ ๕ ขุมเป็นลำดับลงไปเชียว แกไม่ต้องไปไหนละ กลัวทีเดียว เมื่อละอายแก่ใจแล้วก็กลัวนรก ต้องปรับเราแน่ เราต้องไปนรกแท้ทีเดียว ขาดข้อใดข้อหนึ่ง มีความละอายและความสะดุ้งกลัว ไม่ยอมให้ศีลขาดหมัดเด็ดทีเดียว เด็ดเดี่ยวทีเดียว ให้บริสุทธิ์ตั้งแต่ ปาณาติบาต อทินนาทาน กาเมฯ มุสาฯ สุราฯ ไม่ขาดตกบกพร่องทีเดียว นี่อย่างนี้เรียกว่าอุบาสก ย่อ ๆ เรียกว่าอุบาสกล่ะนะ แล้วก็เรียกว่าอุบาสิกาด้วย

          ถ้ายังไม่มีไตรสรณคมน์ก็อุบาสกนอกศาสนา อุบาสิกาก็นอกศาสนา ยังไม่เข้าศาสนาเลยน่ะ แค่นี้น่ะ ปฏิบัติแค่นี้ยังไม่เข้าในศาสนา เป็นอุบาสกนอกศาสนา เป็นอุบาสิกานอกศาสนา จะให้เป็นอุบาสกในศาสนา เป็นอุบาสิกาในศาสนาต้องเข้าถึงไตรสรณคมน์ เข้าถึงไตรสรณคมน์คือ พุทฺโธ ธมฺโม สงฺโฆ  พุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ

          เมื่อเรามีศีล ๕ มั่น บริสุทธิ์บริบูรณ์ดี มีใจเบิกบานสำราญใจ มั่นอยู่แค่ศีล ๕ เช่นนี้ ก็ประกาศได้แล้วว่า  หิริโอตฺตปฺปสมฺปนฺนา แกถึงพร้อมด้วยความละอายความสะดุ้งกลัวละ ความละอาย มีศีลบริสุทธิ์ สมบูรณ์บริบูรณ์ ไม่มีอายนัก ไม่มีทั้งอายและทั้งสะดุ้งกลัวด้วย กลัวจะไปนรก กลัวจะไปอบายภูมิ ๔ อย่างใดอย่างหนึ่ง กลัวนัก แล้วก็ เมื่อบริสุทธิ์อยู่เช่นนั้น  สุกฺกธมฺมสมาหิตา เกื้อกูลแล้วในธรรมอันขาว ศีล ๕ นั่นแหละ ขาวผ่องไม่มีราคีทีเดียว เรียกว่า สุกฺกธมฺมสมาหิตา ผ่อง ขาวผ่องทีเดียว

          สนฺโต นี่แหละเป็นตัวธรรมเครื่องสงบระงับในโลก ตั้งแต่ ๆ ปฐมทีแรก ตั้งแต่ปฐมแผ่นดินมา ตั้งแต่ปฐมกษัตริย์มา ปกครองโลกด้วยคุณธรรม ๕ ประการนี้ ร่มเย็นเป็นสุขเบิกบานสำราญใจ เว้นจากฆ่าสัตว์ ลักฉ้อ ประพฤติผิดในกาม พูดปด เสพสุรา ๕ ข้อนี้เท่านั้นแหละ ในโลกไม่ต้องมีคุกมีตะราง สบายอกสบายใจ ได้รับความเบิกบาน ร่มเย็นมาตลอดสาย บัดนี้เราในวัดนี่ ภิกษุสามเณรก็ให้บริสุทธิ์ในศีล ๕ ได้จริง ๆ อุบาสกอุบาสิกาก็บริสุทธิ์ในศีล ๕ จริง ๆ จะไม่ได้ทะเลาะกันเลย จะไม่มีบาดหมางกันเลย จะไม่มีอิจฉาริษยากันเลย ถ้าอิจฉาริษยากันก็เรียกว่าไม่มีศีล ๕ แล้วล่ะแก เลอะแล้วล่ะ เหลวแล้วล่ะ นี่ใช้ไม่ได้อย่างนี้ อย่างนี้ใช้ไม่ได้ เมื่อเข้าใจหลักดังนี้แล้วก็ ๕ สิกขาบทนี้ หิริโอตตัปปะ ละอายไว้ให้ดี ถ้าไม่มีละอาย สะดุ้งกล้วไว้ให้ดี ไม่มีจะตกนรก แน่นอนทีเดียว ได้ชื่อว่าตั้งอยู่ใน เกื้อกูลแล้วในธรรมอันขาว ได้ชื่อว่าสงบระงับแล้ว เมื่อสงบระงับแล้วเช่นนี้ละก็ นักปราชญ์ทั้งหลาย สัปบุรุษทั้งหลายย่อมกล่าวบุคคลนั้นว่าตั้งอยู่ในธรรมอันประเสริฐ ตั้งอยู่ในเทวธรรม ตั้งอยู่ในธรรมอันประเสริฐ ตั้งอยู่ในเทวธรรม คนนั้นแม้ถึงเป็นมนุษย์อยู่ บริสุทธิ์ในศีล ๕ ผู้ชายก็เรียกว่า สมมติเทวดา ผู้หญิงก็เรียกว่าสมมติเทวดา เออ ไม่ใช่เป็นของต่ำ เป็นสมมติเทวดาทีเดียว ยกย่องสูงอย่างนั้น คือคุณธรรมนั่นเองยกตัวเอง คุณธรรมความบริสุทธิ์ ศีล ๕ นั่นเองยกตัวเอง เป็นคนตั้งอยู่ในเทวธรรม ธรรมของเทวดาทีเดียว ธรรมที่ทำให้เป็นเทวดาทีเดียว เป็นเทวดาทั้งมนุษย์นี่แหละ สมมติเทวดานั่นเอง

          มั่นอยู่ในศีล ๕ แค่นี้ ก็ต้องให้สูงขึ้นไปกว่านี้ บัดนี้ พุทธศาสนา เราเข้าถึงพระไตรสรณคมน์ คือ พุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ หรือว่าในศีลเสียก่อนก็ได้ เมื่อมั่นในศีล ๕ ละก็ ศีล ๘ ให้มั่นแบบเดียวกันนี้ แบบเดียวกันนี้ วิกาลโภชน์ เว้นจากบริโภคอาหารในเวลาวิกาลตั้งแต่เที่ยงแล้วไปจนถึงอรุณใหม่ นี่วันนี้เราสมาทานแล้วจนถึงอรุณใหม่ ให้มั่นเชียวนะ อย่าให้ล่อกแลกนะ มั่นคงทีเดียว รักษามั่นคงอยู่ในวิกาลโภชน์ ไม่บริโภคอาหารในเวลาวิกาล ตั้งแต่เที่ยงแล้วไปจนถึงอรุณใหม่ทีเดียว นี่ได้ชื่อว่า รักษาวิกาลโภชน์ไว้ได้ ไม่บริโภคอาหารในเวลาวิกาลเช่นนี้ นี้ได้ชื่อว่าทอนกำลัง ว่าจะตัดเสียซึ่งความอยากความปรารถนาให้เบาบางลง นี่ทางไปของพระอริยบุคคลนะ ทางไปพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ทีเดียว เป็นทางสูง ให้มั่นไว้

         ไม่ฟ้อนรำขับร้อง ประโคมเครื่องดีดสีตีเป่าต่าง ๆ ไม่มีทีเดียว ไม่บรรเลงเครื่องต่าง ๆ ไม่มี เว้นขาดทีเดียว ขับร้องประโคมเครื่องดีดสีตีเป่านั้นเป็นไฉน เกื้อกูลให้เกิดความยั่วยวนใจ ชักชวนให้ครองเรือน ไม่ชักชวนในทางหมดกิเลส ไม่ชักชวนในทางบรรเทากิเลส ไม่ชักชวนในทางมรรคผลนิพพาน ก็เว้นเสียขาดจากสันดาน พวกกามพวกตัณหา เช่นนี้ ได้ชื่อว่าประพฤติธรรมเลิศประเสริฐขึ้นไปกว่าศีล ๕ ทางไปของพระอริยบุคคล

          เว้นทัดทรงประดับประดาร่างกายด้วยระเบียบดอกไม้ของหอม เครื่องยั่วยวนให้เกิดความยวนใจ ให้เกิดความยั่วยวน ให้เกิดความยั่วยวนกวนใจต่าง ๆ เหล่านี้ ก็เว้นเสียขาดจากใจอีก เว้นเสียขาดจากใจก็ทอนเสียซึ่งพวกตัณหาทั้งนั้น พวกคันธตัณหา ของกลิ่นของหอม คันธตัณหา รสตัณหา โผฏฐัพพตัณหา พวกคันธตัณหาของหอมเหล่านี้แหละ ละเสีย นี่ก็ตัดกำลังอย่างแรง ตัดกำลังมารอย่างแรง พวกประพฤติศีล ๘ นี้

          ไม่นั่งนอนอาสนะสูงใหญ่ เออ อาสนะสูงใหญ่เป็นไง ร้ายอีกเหมือนกัน เราไปอยู่อาสนะจ๋อง ๆ อยู่ในดงในดอน ในดงในดอนในป่า ใจเราก็ไม่กำเริบ ถ้าได้อาสนะโอ่โถงในรั้วในวังล่ะเป็นไง ใจมันก็ครึกครื้นไปอีกอย่าง มันก็แปรไปจากสภาพเดิม มันก็จะไปกันใหญ่โตกันละ ไปสร้างบ้านสร้างเรือนกันละ เรื่องนี้ พวกถือศีล ๘ ให้เว้นขาดเสียจากนั่งที่นั่งที่นอนอาสนะสูงใหญ่ ไม่ให้เกิดยั่วยวนกวนใจไปในทางโลก นี้ก็ตัดเสียซึ่งโผฏฐัพพตัณหา ความถูกต้องทางกายให้เกิดยั่วยวนใจ เว้นขาดจากใจ ศีล ๘ บริสุทธิ์บริบูรณ์เป็นอันดีไม่ขาดตกบกพร่องแต่อย่างใดอย่างหนึ่ง รักษาไว้ จะล่วงล้ำข้อใดข้อหนึ่งให้มีความละอาย ให้มีความสะดุ้งกลัว รักษาไว้ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ศีล ๘ บริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่ขาดตกบกพร่อง ได้ชื่อว่าผู้นั้นตั้งอยู่ในหิริโอตตัปปะ ได้เชื่อว่าเกื้อกูลแล้วในธรรมอันขาว

          ความบริสุทธิ์นั้นเป็นธรรมอันขาวแท้ ๆ ไม่ใช่ธรรมอันขุ่นมัวเศร้าหมองอย่างหนึ่งอย่างใด  สนฺโต นั่นแหละเป็นธรรมสงบเป็นชั้น ๆ ขึ้นไป ตามส่วนของศีลนั้น ๆ สงบขึ้นไปเป็นชั้น ๆ เมื่อสงบขึ้นไปเป็น สนฺโต แล้ว  สปฺปุริสา ผู้มีใจสงบระงับย่อมกล่าวว่า นั่นแหละ เป็นธรรมอันประเสริฐในโลก หรือเป็นเทวธรรม เป็นธรรมของเทวดา นี่ให้มีศีล ๕ บริสุทธิ์อย่างนี้

          ฝ่ายสามเณรก็ให้มีศีล ๑๐ บริสุทธิ์ทุก ๆ ข้อเทียว ตรงเข้า หยิบเงินและทอง ไอ้เงินทองร้ายจริง เงินทองร้ายนัก ถ้าใครหยิบเข้าแล้วละก็ ใจกำเริบ กำเริบเสิบสานนัก หยิบเงินทองใช้ได้อย่างชอบใจ ใจกำเริบเสิบสาน สามเณรจ๋อง ๆ ไม่มีเงินติดมือเลยอย่างนี้แหละ หน้าตาจ๋อง ๆ อยู่อย่างนี้แหละ ถ้าได้เงินเข้าสัก ๑,๐๐๐ บาทเท่านั้นแหละ ถ้ามันติดมือแล้วล่ะก็ เอาแล้ว เออ จ๋อง ๆ กลายเป็นคึกคักขึ้นแล้ว แข็งแรง แกร่งขึ้นแล้ว ฟูขึ้นแล้ว หน้าตาแจ่มใสขึ้นแล้ว นั่น ๆ ๆ ๆ มันกลายเป็นอย่างนี้แหละ เห็นมั้ยล่ะ มันทำให้กลายได้อย่างนี้นะ ถ้ามันกลายได้อย่างนี้พึงรู้ไว้เถิด เงินทองมันอยู่ในมือคนใดน่ะมันทำพิษทำร้ายนัก มันไปอยู่กับใคร ๆ ล่ะ มันร้ายนัก เดิมน่ะเป็นชี เป็นแปร่ง ๆ เป็นชี เอาเงินไปให้ ไม่มีเงินมันก็จ๋องละซี นั่นแหละ อีกสักสองสามวันมาดูมันสิ มันเปลี่ยนสภาพทีเดียวแหละ อ้ายแปร่ง ๆ มันหายไปแล้วล่ะ กลายมาเป็นคึกคักขึ้นแล้วละ นั่นแน่ะ มันกลายเป็นอย่างงี้ล่ะ เหตุนั้น การหยิบหรือถือเงินในมือนะร้ายนักทีเดียว

          พระพุทธเจ้าเห็นอำนาจร้ายมาก ในเรื่องนี้ มีหญิงในพุทธกาล เขาเล่าเรื่องหญิงคนจนทอหูกอยู่คนหนึ่ง นี่เขาเรียกว่าหญิงทอหูก หญิงทอผ้า คนจนไม่มีเดียงสาอะไร ก็จ๋องอยู่นั่นแหละ ผู้ที่รู้จักเดียงสาอยากจะรู้ฤทธิ์เงินว่ามันเป็นยังไงบ้าง เอาเงินไปให้หญิงคนนั้นแหละ ไม่ได้ให้เลยหรอกนะ เอาไปฝังไว้ ผู้หญิงคนนั้นนั่งทอผ้าอยู่ ๔ บาทเท่านั้นแหละ ไปฝังไว้ไม่ให้รู้หรอก หญิงคนที่จ๋องนั่นแหละ กลายเป็นคนคึกคัก เป็นคนอหังการ มมังการขึ้นแล้ว กลายเป็นคนมั่งมีขึ้นในตัวแล้ว ไม่รู้ไอ้ไอเงินมันขึ้นมาถูกเข้ายังไงก็ไม่รู้ กลายเป็นคนอหังการ มมังการขึ้นแล้ว แค่เพียงถูกไอเงินเท่านั้นนะ มันไม่ถูกถึงตัวเงินหรอก

          ถ้าว่าไปหยิบเงินทองที่ต้องการใช้ได้เท่านั้นแหละ เณรก็เสียเณรหมด พระก็เสียพระหมด เพราะเหตุอะไรล่ะ ประพฤติอย่างฆารวาสเขา ไม่ควรไม่น่านับถือ ประพฤติอย่างฆารวาสเขา ประพฤติอย่างคนครองเรือน ที่เรียกว่า คหฏฺฐ  คฤหัสถ์ผู้ครองเรือน ใช้เงินใช้ทองเช่นนี้ ไม่น่านับถือ ไม่น่าบูชา ทำเสียเส้นพระวินัย ของที่ใช้นั้นพระก็เป็นนิสสัคคีย์ เณรก็ศีลไม่บริสุทธิ์ ทำลายพุทธศาสนา อย่างนี้ใช้ไม่ได้ ต้องเว้นขาดทีเดียว ต้องมีหิริโอตตัปปะ ถ้าศีลก็มี ๑๐ สิกขาบท ไม่ล่วงไปข้อใดข้อหนึ่ง ถ้า ๘ สิกขาบทก็ไม่ล่วงไปข้อใดข้อหนึ่ง รักษาความบริสุทธิ์นั้นไว้ ไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ไม่ขาดตกบกพร่อง

        สูงขึ้นไปกว่านั้นศีล ๒๒๗ ศีลของภิกษุมี ๔ แต่ว่า ๒๒๗ นั้นหมวดเดียว มี ๔ ปาติโมกขสังวรศีล อินทรียสังวรศีล อาชีวปาริสุทธิศีล ปัจจัยสันนิสิตศีล ศีลของพระภิกษุมี ๔  ถ้าว่าแต่แต่เพียงว่าศีลปาติโมกข์ ปาราชิก ๔ สังฆาทิเสส ๑๓ อนิยตะ ๒ นิสสัคคียปาจิตตีย์ ๓๐ ปาจิตตีย์ ๙๒ ปาฏิเทสนียะ ๔ เสขิยะ ๗๕ อธิกรณสมถะ ๗ รวม ๒๒๗ สิกขาบท เช่นนี้น่ะ เรียกว่าปาติโมกขสังวรศีลอันเดียว สำรวมตามพระปาติโมกข์ เว้นข้อที่พระพุทธเจ้าห้าม ทำตามข้อที่พระองค์ทรงอนุญาต ได้บริสุทธิ์บริบูรณ์ดี ถ้าไม่บริสุทธิ์บริบูรณ์ มีความอายนัก มีความสะดุ้งกลัวนัก อายว่าเป็นพระไม่บริสุทธิ์ ตายไปต้องไปนรกไม่ต้องไปไหน กลัวอย่างนี้ ให้ทำตัวอย่างนี้ ถ้าว่าทำตัวให้บริสุทธิ์เป็นอันดีได้ชื่อว่า สุกฺกธมฺมสมาหิตา เกื้อกูลแล้วในธรรมอันขาว

        สนฺโต คำแปลเป็นธรรมอันสงบอยู่แล้ว ตั้งอยู่ในความสงบแล้ว ยังไม่พอเท่านั้น อินทรียสังวรศีล สำรวมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ให้ยินดียินร้ายเวลาเห็นรูป ฟังเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรส ถูกต้องทางโผฏฐัพพะ รู้ธรรมารมณ์ด้วยใจ สำรวมอินทรีย์จะสำรวมอย่างไร สำรวมตา ไม่ให้โปรดเกินไป พอเหมาะพอเจาะ สำรวมหู สำรวมหูคอยระวังไว้ ไม่ให้แส่หาเสียงที่ชอบใจ ที่ให้เกิดความกำหนัดยินดี สำรวมจมูก ก็กำหนดกลิ่นไว้ ไม่ให้ยินดี สำรวมลิ้น กำหนดรสไว้ไม่ให้ยินดี สำรวมกาย โผฏฐัพพะ กำหนดไว้ กำหนดอารมณ์ทางใจ อารมณ์ทั้งหมด สำรวมหมด ในเวลาที่เห็นรูป ฟังเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรส ถูกต้องโผฏฐัพพะ รู้ธรรมารมณ์ด้วยใจ ไม่ให้ความยินดียินร้ายเล็ดลอดเข้าไปได้ ใจอยู่กับอะไร นี้นั้น ใจต้องมีธรรมารมณ์อยู่ ต้องอยู่กับธรรมารมณ์ ต้องอยู่กับธรรมที่เกิดกับใจ ธรรมอะไรที่เกิดกับใจ ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ก็ดี ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ละเอียดก็ดี กายทิพย์ กายทิพย์ละเอียดก็ดี ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายรูปพรหมก็ดี รูปพรหมละเอียดก็ดี กายอรูปพรหมก็ดี อรูปพรหมละเอียดก็ดี ดวงธรรมที่ทำให้เป็นธรรมกายก็ดี เข้าถึงกายไหน อยู่กับดวงธรรมกายนั้น ปักอยู่กับดวงธรรมกายนั้น เดินก็ตรึกถึงดวงธรรมนั้น ยืนก็ตรึกถึงดวงธรรมนั้น นั่งก็ตรึกถึงดวงธรรมนั้น นอนก็ตรึกถึงดวงธรรมนั้น จรดอยู่กับใจ จรดอยู่กับธรรมนั้น นี่เขาเรียกว่า ศีล ๑  ศีล ๑ อันนี้อย่างชนิดนี้ทั้ง ๔ รวมหมด ปาติโมกข์ก็รวมหมด อินทรีย์ก็รวมหมด อาชีวปาริสุทธิศีล เลี้ยงชีพโดยชอบ ไม่หลอกลวงเขาเลี้ยงชีวิต เลี้ยงชีพบริสุทธิ์จริง ๆ นั่นก็เป็นศีลของภิกษุอันหนึ่ง ปัจจัยสันนิสิตศีล พิจารณาปัจจัยทั้ง ๔ คือ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ  ไม่บริโภคด้วยตัณหา นี่ก็เป็นศีลอีกอันหนึ่ง ปัจจัยสันนิสิตศีลนั่นแหละเป็นข้อสำคัญนัก ถ้าเป็นอิณบริโภค บริโภคด้วยความเป็นหนี้ ไม่ได้พิจารณาปัจจัยล่ะ ให้เต็มส่วนเต็มที่ ใช้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานปัจจัยแล้วละก็ ได้ชื่อว่าภิกษุบริโภคด้วยความเป็นหนี้ จะต้องตายไปเป็นวัวให้เขาใช้ เป็นควายให้เขาขี่ ให้เขาใช้ไป เป็นม้าให้เขาขี่ เป็นช้างให้เขาขี่ ไม่งั้น สูงไปกว่านั้น อย่างเบาไปกว่านั้น กลายไปเป็นบ่าวเป็นทาสเขา เป็นมนุษย์ เขา ก็เป็นบ่าวเป็นทาสเป็นคนใช้เขา เขาไม่ใช้เจ้าก็อยากให้เขาใช้นัก ไปทำอาสาเขา เปื่อยไปอย่างงั้นแหละ เพราะเป็นหนี้เขาแล้ว บริโภคด้วยความเป็นหนี้ไปแล้ว นี้เป็นหนี้อย่างงี้ ลำบาก จีวร เมื่อเวลาจับจีวรเขามาถวายเข้า ใช้ธาตุปัจจเวก ว่า จีวรนี้สักแต่ว่าธาตุ เป็นปัจจัยสักแต่ว่าธาตุ ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา ใด ๆ แล้วก็เป็นของว่างเปล่าไป จีวรนี้เป็นของไม่เน่าไม่เปื่อย น่าดูน่าชม ไม่สกปรกเปรอะเปื้อนใด ๆ เป็นของพอดูได้  พอถูกต้องร่างกายกลายเป็นของเสียหายไปได้ ไม่น่าดูน่าชมไปได้ พิจารณาจีวรอีก คิดแล้วเมื่อเวลาจะนุ่งก็ ไม่ได้นุ่งเพื่ออื่น นุ่งเพื่อจะป้องกันเสียเรื่องฟ้า เรื่องหนาวแลร้อน เหลือบแลยุง งูเล็กงูใหญ่ ตะเข็บตะขาบต่าง ๆ เพื่อจะไม่ให้กามกำเริบเท่านั้น พิจารณาดังนั้นก็นุ่งห่มไป นุ่งหุ่มไปแล้วก็พิจารณาแบบเดียวกันอีก ซ้ำอีก เรียกว่า อตีตปัจจเวก พิจารณาจีวรนุ่งห่มพร้อมด้วยองค์คุณ ธาตุปัจจเวก ปฏิกูลปัจจเวก ตังขณิกปัจจเวก อตีตปัจจเวกแล้ว ฉันจังหันล่ะ ก็แบบเดียวกัน พิจารณาด้วย ธาตุปัจจเวก ปฏิกูลปัจจเวก ตังขณิกปัจจเวก อตีตปัจจเวก นั่งนอนเสนาสนะล่ะ ก็แบบเดียวกัน พิจารณาด้วย ธาตุปัจจเวก ปฏิกูลปัจจเวก ตังขณิกปัจจเวก อตีตปัจจเวก บริโภคหยูกยารักษาไข้ล่ะ ต้องพิจารณาด้วย ธาตุปัจจเวก ปฏิกูลปัจจเวก ตังขณิกปัจจเวก อตีตปัจจเวก ถ้าขาดข้อใดข้อหนึ่ง ปัจจัยสันนิสิตศีลไม่บริสุทธิ์ เป็นอิณบริโภค บริโภคด้วยความเป็นหนี้เขา อย่างนี้ต้องได้รับความทุกข์ต่าง ๆ นานา เพราะเหตุว่าเป็นหนี้เขา ต้องบริสุทธิ์ ถ้าไม่บริสุทธิ์ ต้องมีหิริโอตตัปปะ อาย ไม่ได้ เป็นพระศีล ๒๒๗ ไม่บริสุทธิ์ อาย อินทรียสังวรศีลไม่บริสุทธิ์ก็อาย สะดุ้งกลัวอีกเหมือนกัน ปัจจัยสันนิสิตศีลไม่บริสุทธิ์ก็อาย อาชีวปาริสุทธิศีลไม่บริสุทธิ์ก็อาย สะดุ้งกลัวอีกเหมือนกัน ปัจจัยสันนิสิตศีลไม่บริสุทธิ์ก็อาย สะดุ้งกลัวเหมือนกัน แบบเดียวกัน

          เหมือนเราท่านในบัดนี้ เมื่อได้ศีลปรากฏหมดจดสมบูรณ์บริบูรณ์ พระเณรได้ศีลสมบูรณ์บริบูรณ์ อุบาสกอุบาสิกาได้ศีลสมบูรณ์บริบูรณ์เสีย เท่านี้พอหรือ พบพุทธศาสนา ไม่เข้าถึงพระรัตนตรัยอายนัก อายนัก อายด้วยประการไฉน อายโดยอาการว่า มาพบพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาน่ะคืออะไร คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าสอนว่าอะไร สอนทำใจให้สงบระงับ ให้ทำใจหยุดทำใจนิ่ง  ชั่วด้วยกาย วาจา ใจไม่ให้ทำทีเดียว ทำแต่ดีด้วยกาย วาจา ใจ ทำใจให้ใส ใสหนักเข้า หนักเข้าละก็ ต้องเข้าถึงพระรัตนตรัย เข้าถึงพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ ถ้าไม่เข้าถึงพุทธรัตนะก็ไม่รู้จักตัวพระพุทธศาสนา ไม่เข้าถึงธรรมรัตนะก็ไม่รู้จักตัวพระธรรมในพระพุทธศาสนา ไม่เข้าถึงพระสังฆรัตนะก็ไม่รู้จักพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ไม่รู้จักจริง ๆ รู้จักแต่ชื่อ ไม่เห็น ไม่รู้จัก ไม่เห็น ไม่ได้ ไม่เข้า ไม่ถึง ก็ได้ชื่อว่าไม่รู้จัก ไม่รู้จักก็ได้ชื่อว่าไม่ได้ลิ้มรสศาสนา ถ้าไม่เข้าถึงพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ ละก็ไม่ได้ลิ้มรสศาสนาละ เป็นตัวศาสนาสำคัญทีเดียว

       ลิ้มรสน่ะเป็นไฉน ก็ไม่รู้จักรสศาสนาน่ะสิ ก็รสศาสนาคือตัวพุทธรัตนะนี่ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ รสชาติเป็นยังไง พุทธรัตนะ อ้าวต้องเข้าถึงซะก่อนสิ  พวกเข้าถึง ถามดูก็ได้ เข้าถึงพุทธรัตนะรสชาติเป็นยังไง รสชาติเป็นยังไงละ ก็ลืมกายมนุษย์สิ กายมนุษย์นี่มันของหยาบนี่ นั่นละเอียดนัก เข้าถึงพุทธรัตนะแล้วละก็ลืมเชียว ว่าสูงจริง นี่วิเศษจริง ประเสริฐจริง ท่านถึงเป็นผู้เลิศผู้ประเสริฐเพราะเข้าถึงกายนี้เอง เข้าถึงธรรมรัตนะก็เลิศก็ประเสริฐอีก อ้อ พวกเข้าถึงหยาบ ๆ อย่างโน้นนี่ สู้สูงละเอียดขึ้นมาเช่นนี้ไม่ได้  เข้าถึงสังฆรัตนะละ เอ้อ ยิ่งละเอียดหนักขึ้นไป สังฆรัตนะนี่ลึกซึ้งจริง

          พุทฺโธ ธมฺมสฺส โพเธตา พุทฺโธ ธมฺมสฺส โพเธตา พระพุทธเจ้าผู้รู้ธรรม  ธมฺมสฺส โพเธตา พระพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้ธรรม คำที่เรียกว่าธรรม  อปฺปาเย จตูสุ อปาเยสุ สตฺเต ธาเรตีติ ธมฺโม*(*วิภาวินีอนุฎีกา, ล.๕ น.๑๓๕ ที่อ้างอิงว่า ปฏิปชฺชมาเน จตูสุ อปาเยสุ อปตมาเน กตฺวา สตฺเต ธาเรตีติ ธมฺโม) พระองค์ทรงตรัสผู้ไม่ให้ตกไปในอบายภูมิทั้ง ๔ ธรรมทรงตรัสผู้ปฏิบัติไม่ให้ตกไปในอบายภูมิทั้ง ๔ นั่นธรรมรักษาตนเอาไว้ได้  ธมฺโม สงฺเฆน ธาริโต ทรงตรัสผู้ไม่ให้ตกไปในอบายภูมิทั้ง ๔ แล้ว พระสงฆ์ทรงธรรมอันนั้นไว้ไม่ให้หายไป พระพุทธเจ้าตรัสรู้ไว้แล้ว พระสงฆ์ทรงเอาไว้ไม่ให้หายไป ธรรมที่พระสงฆ์ทรงไว้นั้น ธรรมที่พระสงฆ์ทรงไว้นั้นรักษาไว้นั้น ปรากฏมาจนกระทั่งบัดนี้

       เมื่อไปถึงพุทธรัตนะเข้าแล้ว ไปถึงธรรมรัตนะเข้าแล้ว ไปถึงสังฆรัตนะเข้าแล้ว พระพุทธเจ้าอยู่ในสถานที่ใด ๆ ไปทูลท่านก็ได้ ไปพูดกับท่านก็ได้ ไปในนิพพานก็ได้ ถ้ามีในนิพพานไปในนิพพานก็ได้ นั่นแน่ มีรสมีชาติอย่างนี้ ลึกซึ้งอย่างนี้แน่ะ ถ้าว่าไม่เข้าถึงพุทธรัตนะ เรานิ่งเสีย ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เสีย นิ่งเสียทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เสีย นั่นไม่มีหิริโอตตัปปะน่ะสิ ก็นิ่งเสียล่ะสิ ถ้ามีหิริโอตตัปปะจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนล่ะ เขาถึงพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะกัน ถ้ามีหิริโอตตัปปะก็อายตายโหงล่ะสิ ไม่ถึงไม่ยอมกัน นั่งกันหลังหักตายเลย เอาละ ถ้าไม่ถึงก็ตาย ไม่ได้ก็ตายแหล่ทีเดียว เอากันละ ถึงวาระล่ะที่จะต้องขับขันกัน ถ้าว่าเขาไม่ได้ไม่เป็นไม่เห็นปรากฏละก็ช่างเถอะ  ถ้าเขาได้เป็นเห็นปรากฏต่อหน้าต่อตาแบบนี้ เรามันจะเป็นตายละก็ช่างมันเถอะ ถ้าไม่ได้ก็ตายแหล่ล่ะ เอาล่ะ เอาให้เข้าถึงให้ได้ ให้เข้าถึงพุทธรัตนะเสียได้ละก็ นั่นแหละไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์พบพุทธศาสนา เข้าถึงซึ่งธรรมรัตนะได้ซะละก็นั่นแหละไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา เข้าถึงพระสังฆรัตนะได้ซะละก็นั่นแหละไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา นี้แหละได้ชื่อว่า หิริโอตฺตปฺปสมฺปนฺนา ถึงพร้อมแล้วด้วยความละอายความสะดุ้งกลัว ไม่ถึงละก็ละอายสะดุ้งกลัวนัก เพราะไม่ได้เกื้อกูลในธรรมอันขาว เกื้อกูลในธรรมดำอยู่ ไม่เกื้อกูลในธรรมอันขาวจริงลงไป เข้าถึงได้แล้ว ได้แล้ว เป็นแล้วละก็นั่นแหละ เกื้อกูลในธรรมอันขาวแท้ ๆ ล่ะ นั่นแหละ สนฺโต ล่ะ ใจอยู่กับธรรมะเฉย ๆ กิเลส ตัณหา มานะ ทิฏฐิ ทำอะไรไม่ได้ ข่มเหงอะไรไม่ได้ ได้ก็เล็ก ๆ น้อย ๆ  เอาจริง ๆ จัง ๆ ก็ไม่ได้ อยู่เสียกับธรรมะ นี่นักปราชญ์ทั้งหลาย สปฺปุริสา ผู้มีใจสงบระงับทั้งหลาย ย่อมเยินยอยกย่องส่งเสริมชมเชยว่า  เทวธมฺมา เทวธมฺมาติ วุจฺจเร อันนักปราชญ์ทั้งหลายย่อมกล่าวว่าเป็นธรรมอันประเสริฐในโลกด้วยประการดังนี้

        นี่วันนี้ตั้งใจที่จะแสดงหิริโอตตัปปะให้กว้างขวางออกมาอย่างนี้ แสดงกว้างขวางออกมาอย่างนี้ละก็ เราฟังหิริโอตตัปปะ ๒ ข้อเท่านั้น วันนี้ได้ฟัง หิริ โอตตัปปะ ๒ ข้อเท่านั้น แล้วจำเป็นใจความไว้ว่า ธรรมะอันดี ความบริสุทธิ์ของศีล ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ ถ้าไม่บริสุทธิ์แล้วให้มีความละอายความสะดุ้งกลัว แก้ไขให้บริสุทธิ์ไว้ ถ้าเราไม่เข้าถึงพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะแล้ว ให้มีความละอายความสะดุ้งกลัวว่า ว่าเขาเข้าถึงกันถมไป เราไม่เข้าถึง ก็ให้มีความละอายมีความสะดุ้งกลัว มีความละอายว่าเราไม่ได้ไม่ถึงกับเขา เขาได้เขาถึงเช่นนั้น ให้มีความละอายความสะดุ้งกลัว ว่าเราจะไม่พ้นอบาย ถ้าได้เสียแล้วเราต้องพ้นอบาย แน่ในใจอย่างนั้นได้ชื่อว่าเกื้อกูลในธรรมอันขาว เป็นผู้มีใจสงบระงับ นักปราชญ์ทั้งหลายย่อมกล่าวว่าตั้งอยู่ในธรรมอันเลิศธรรมอันประเสริฐ อยู่ในเทวธรรม ธรรมของเทวดาทีเดียว ไม่ใช่ของมนุษย์ ให้แน่นอนในใจอย่างนี้นะ

         ที่ได้ชี้แจงแสดงมานี้ ตามวาระพระบาลีใน หิริโอตตัปปสัมปันนา ตั้งแต่ต้นจนอวสานนี้ เป็นโวหารเทศนาแปลเป็นปาฐกต่อไปกว้างขวางยิ่งกว่านักหนา จำไว้เป็นตำรับตำรา ที่ได้ชี้แจงแสดงมานี้พอเป็นเครื่องประคับประคองสนองศรัทธา ประดับสติปัญญาคุณสมบัติของท่านผู้พุทธบริษัท ทั้งคฤหัสถ์บรรพชิต บรรดามาสโมสรในสถานที่นี้ทุกถ้วนหน้า สิทฺธมตฺถุ สิทฺธมตฺถุ สิทฺธมตฺถุ อิทํ ผลํ เอตสฺมิํ รตนตฺตยสฺมิํ สมฺปสาทนเจตโส ขอจิตอันเลื่อมใสของท่านทั้งหลาย ทั้งภิกษุสามเณร อุบาสกอุบาสิกา ในพระรัตนตรัยนี้จงเป็นผลสำเร็จ จงเป็นผลสำเร็จ จงเป็นผลสำเร็จ ทุกประการดังอาตมภาพประทานวิสัชนามาพอสมควรแก่เวลา สมมติว่ายุติธรรมิกถาโดยอรรถนิยมความเพียงเท่านี้

             เอวํ ก็มีด้วยประการฉะนี้ ฯ

บทความที่เกี่ยวข้อง