หิริโอตตัปปะ ๒
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ฯ (๓ หน)
หิริโอตฺตปฺปสมฺปนฺนา สุกฺกธมฺมสมาหิตา
สนฺโต สปฺปุริสา โลเก เทวธมฺมาติ วุจฺจเรติ ฯ
ขุ.ชา(บาลี) ๒๗/๖/๓
ณ บัดนี้ อาตมภาพจะได้แสดงธรรมิกถา แก้ด้วยธรรมสำคัญในพระบวรพุทธศาสนา พระองค์ทรงรับสั่ง หิริโอตฺตปฺปสมฺปนฺนา สุกฺกธมฺมสมาหิตา ให้ตั้งมั่น ตั้งมั่นพร้อมด้วยดีในหิริโอตตัปปะ มีความละอายมีความสะดุ้งกลัว มั่นคงในความละอายในความสะดุ้งกลัว สนฺโต เป็นผู้มีใจสงบระงับ วุจฺจเร อันนักปราชญ์ทั้งหลายย่อมกล่าว เทวธมฺมา ว่าเป็นธรรมอันประเสริฐ โลเก ในโลกด้วยประการดังนี้
หิริโอตฺตปฺปสมฺปนฺนา ถึงพร้อมแล้วด้วยความละอาย ความสะดุ้งกลัว สุกฺกธมฺมสมาหิตา รับรองว่าตั้งอยู่แล้วในธรรมอันขาว สนฺโต เป็นธรรมเครื่องสงบระงับ นักปราชญ์ทั้งหลายย่อมกล่าวว่าเป็นธรรมอันประเสริฐในโลก นี่เป็นหลักสำคัญ เมื่อเราเป็นหญิงเป็นชายเป็นคฤหัสถ์บรรพชิตมาประสบพบพุทธศาสนา ได้ฟังพุทธฎีกาเพียงเท่านี้ ก็เป็นบุญลาภอันล้ำเลิศประเสริฐยิ่งเป็นนักหนา พระองค์ทรงรับสั่ง ให้มีความละอายความสะดุ้งกลัว นี่เป็นหลักสำคัญ เมื่อดำเนินตั้งอยู่ในพระไตรสรณคมน์
เมื่อตั้งอยู่ในพระไตรสรณคมน์ คือ พุทฺโธ ธมฺโม สงฺโฆ มั่นอยู่ในพระพุทธเจ้า มั่นอยู่ในพระธรรม มั่นอยู่ในพระสงฆ์ หรือว่าเข้าถึงซึ่งพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ มีธรรมกายแล้ว มีธรรมกายทั้งหยาบทั้งละเอียด ได้ชื่อว่าตั้งอยู่ในพระไตรสรณคมน์ เมื่อตั้งอยู่ในไตรสรณคมน์อย่างชนิดนี้แล้วละก็ ให้มีความละอาย มีความสะดุ้งกลัว รักษาพระไตรสรณคมน์ที่ตั้งอยู่นั้น ให้สะอาดผ่องใสอยู่ร่ำไป คือธรรมกาย คือพุทธรัตนะก็สะอาดอีก สะอาดในสะอาดอยู่เสมอไป ถ้าว่าเศร้าหมองขุ่นมัวด้วยประการใดแล้วละก็ให้มีความละอายตัวเอง ว่าจะได้รับความทุกข์ละ มีความอาย รีบแก้ซะให้ใสสะอาด ให้ธรรมกายนั้นใสสะอาดซะ ไม่ให้เศร้าหมองขุ่นมัวได้ ไม่ให้เศร้าหมองได้
แม้ธรรมกายที่ละเอียดก็แบบเดียวกัน ไม่ให้ขุ่นมัวเศร้าหมองได้ ให้ผ่องใสอยู่ร่ำไป ผ่องใสอยู่กระไรก็ให้ผ่องใสอยู่กระนั้น ผ่องใสในผ่องใสหนักขึ้นไป นี้ได้ชื่อว่า บุคคลผู้ตั้งอยู่ในหิริโอตตัปปะ มีความละอาย มีความสะดุ้งกลัว เห็นผู้ที่จะได้รับชั่วเกิดจากการเศร้าหมองของพระรัตนตรัย ไม่ให้เศร้าหมองได้ ได้ชื่อว่าบุคคลนั้นมี โอตฺตปฺปสมฺปนฺนา ถึงพร้อมแล้วด้วยความละอาย ความสะดุ้งกลัว สุกฺกธมฺมสมาหิตา เกื้อกูลแล้วในธรรมอันขาว ธรรมอันใส ไม่มีเศร้าหมองขุ่นมัวต่อไป สนฺโต สงบระงับ สงบเป็นสุข ทุกเหลี่ยมทุกท่า ในเบญจพิพัทธ์กามคุณทั้ง ๕ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ สำหรับจะยั่วยวนกวนใจให้กำเริบเสิบสาน กวนใจให้รำคาญ
เมื่อธรรมกายผ่องใสอยู่เช่นนั้นแล้ว ไม่กำเริบเสิบสาน ไม่รำคาญ สงบ สงบหมด คำที่เรียกว่าสงบ นั่นเราเรียกว่า สนฺโต สงบระงับ สะอาดสะอ้านเป็นอันดี เมื่อเป็นได้ขนาดนี้นักปราชญ์ทั้งหลายย่อมกล่าวว่า เทวธมฺมา ว่าเป็นธรรมอันประเสริฐ โลเก ในโลก ดังนี้ นี่นัยหนึ่ง
อีกนัยหนึ่งหย่อนกว่านั้นลงมา ไม่เข้าถึงพระไตรสรณคมน์ ตั้งอยู่เพียงแค่ศีล ๕ ศีล ๕ ก็ให้พินิจพิจารณาทีเดียว ตั้งต้นแต่ปาณาติบาตมีขาดตกบกพร่องหรือไม่ ถ้าไม่มีขาดตกบกพร่อง พิจารณาสิกขาบทข้อที่ ๒ ไปอีก อทินนาทาน มีขาดตกบกพร่องหรือไม่ ถ้าไม่มีขาดตกบกพร่อง พิจารณาข้อที่ ๓ ไปอีก กาเมสุมิจฉาจาร ขาดตกบกพร่องหรือไม่ ถ้าไม่มีขาดตกบกพร่องพิจาราณาข้อที่ ๔ มุสาวาท กล่าวคำเท็จไม่จริงหลอกลวงต่าง ๆ มีอยู่หรือไม่ ถ้าไม่มี พิจารณาสิกขาบทข้อที่ ๕ สุราเมรยมัชชะปมาทัฏฐานา เวรมณี เว้นจากดื่มน้ำที่ทำบุคคลผู้ดื่มให้เมา คือสุราเมรัยอันเป็นที่ตั้งของความประมาท บริสุทธิ์บริบูรณ์หรือไม่ เห็นว่าบริสุทธิ์บริบูรณ์ ให้รักษาศีล ๕ นั่นแหละ ให้บริสุทธิ์ในบริสุทธิ์หนักขึ้นไป ให้บริสุทธิ์ในบริสุทธิ์หนักขึ้นไป บริสุทธิ์ในบริสุทธิ์ บริสุทธิ์ในบริสุทธิ์หนักขึ้นไป ไม่มีราคี
ถ้าว่าเหล่านี้ เว้นเข้าไปข้อใดข้อหนึ่งนี่กระวนกระวายแก้ไขซะให้บริสุทธิ์ เมื่อแก้ไขบริสุทธิ์แล้วก็รักษาความบริสุทธิ์นั้นไว้ ถ้าความบริสุทธิ์ไม่มีละก็อายนัก เป็นคนสุ่มสี่สุ่มห้า โกงตัวเอง อายนัก ไม่กล้าจะทำได้ให้บริสุทธิ์ไว้ไม่โกงตัวเอง พิจารณาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์ ไม่มีไม่บริสุทธิ์แล้วก็อาย อายและสะดุ้งกลัวด้วย จะได้รับผลชั่วแล้วเจ้า เพราะไม่บริสุทธิ์ รักษาควมบริสุทธิ์นั้นอยู่เนืองนิตย์อัตรา ศีลนั่นก็สะอาดผ่องใส ไม่มีราคีอันหนึ่งอันใด เห็นว่าศีลน่ะไม่มีราคีอันหนึ่งอันใดแล้วก็ นั่นแหละได้ชื่อว่า สุกฺกธมฺมสมาหิตา ตั้งอยู่ในธรรมอันขาวส่วนศีล
สนฺโต สงบระงับตามส่วนของศีล ๕ นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวยืนยันว่า เป็นธรรมอันประเสริฐในโลก จำเพาะตัวของตัว ศีล ๕ ไตรสรณคมน์ ศีล ๕ เมื่อสูงขึ้นไปกว่านั้น ให้มีหิริโอตตัปปะ ดุจเดียวกัน แล้วก็ตั้งอยู่ในธรรมอันขาวแบบเดียวกัน คือใจสงบระงับแบบเดียวกัน เป็นธรรมอันประเสริฐในโลกแท้ ๆ
เมื่อครั้งพระองค์ได้ตรัสรู้พระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ ยังไม่ตรัสเทศนาโปรดผู้หนึ่งผู้ใดเลย เริ่มต้นจะตรัสเทศนาโปรดพระปัญจวัคคีย์ ภิกษุทั้ง ๕ พระองค์ได้ทรงพิจารณา จะตรัสเทศนาแก่พระปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ นั้น จะตรัสเทศนาเป็นไฉน จึงจะถูกเรื่องถูกสายของพระปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ได้มรรคผลโดยฉับพลัน ในมรรคทั้ง ๘ นั่นเป็นตัวยืนละ มรรค ทั้ง ๘ น่ะ มรรคทั้ง ๘ นั่นแหละจบพระไตรปิฎก สมฺมาทิฏฺฐิ สมฺมาสงฺกปฺโป เป็นปัญญา สมฺมาวาจา สมฺมากมฺมนฺโต สมฺมาอาชีโว เป็นศีล สมฺมาวายาโม สมฺมาสติ สมฺมาสมาธิ เป็นสมาธิ ๓ นับแตกแยกออกเป็น ๓ สมฺมาทิฏฺฐิ สมฺมาสงฺกปฺโป แยกออกไปซะ นั่นเป็นตัวปัญญา สมฺมาวาจา สมฺมากมฺมนฺโต สมฺมาอาชีโว แยกออกไปเสีย นี่เป็นตัวศีล สมฺมาวายาโม สมฺมาสติ สมฺมาสมาธิ นี่แยกออกไปเสียอีก ๓ นี่เป็นสมาธิ
ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าหากว่าเราจะตรัสเทศนาในเรื่องศีลตามลำดับของมรรคไป ท่านปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ก็จะไม่เป็นอันฟัง จะยิ้มเยาะและเย้ยหยันเราตถาคตเสียด้วยซ้ำไปอีก ก็เขาชำนาญอยู่แล้วในเรื่องศีลในเรื่องสมาธิเขา เขาเล่นจนชำนาญแล้ว พระองค์ถึงได้ยกเอา สมฺมาทิฏฺฐิ สมฺมาสงฺกปฺโป ขึ้นแสดงแก่พระปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ส่วนศีลกับสมาธิไม่ต้องกล่าว แล้วจะทวนมาทีหลัง กล่าวถึงสัมมาทิฏฐิ ความเห็นทีเดียวละ ความเห็นเป็นตัวสำคัญ สมฺมาสงฺกปฺโป ความดำริ ดำริก็สำคัญเหมือนกัน ความเห็น ความดำรินี่ก็คล้ายกัน ความเห็น เห็นอะไร ลึกซึ้ง
เห็นทุกข์ เหตุเกิดทุกข์ ความดับทุกข์ ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ ไม่ใช่เห็นพอดีพอร้าย เห็นทุกข์ เหตุเกิดทุกข์ ความดับทุกข์ ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ ความเห็น ความดำริก็สำคัญเหมือนกัน เนกฺขมฺมสงฺกปฺโป ดำริจะออกจากกาม อพฺยาปาทสงฺกปฺโป ดำริในการไม่พยาบาท อวิหิงฺสาสงฺกปฺโป ดำริในการไม่เบียดเบียน
เนกฺขมฺมสงฺกปฺโป ดำริจะออกจากกาม เป็นของลึกซึ้งอยู่ หมดทั้งสากลโลก ไม่ว่าหญิงว่าชาย ดำริเข้าไปหากามทั้งนั้น รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ที่ชอบ ดำริเข้าไปหากามทั้งนั้น ดำริจะออกจากกามน่ะมันน้อยนักน้อยหนาทีเดียว แทบจะไม่มีเลย
อพฺยาปาทสงฺกปฺโป ความดำริก็เป็นไปในความพยาบาท เพราะระวัง รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส เหล่านั้น ไม่ให้ใครมาพ่องแพวของตัวได้ ใครมาพ่องแพวหรือมากระทบกระเทือนเข้า พยาบาทใส่เข้าให้ หาวิธีจะไขเจ้า นี่ดำริไปในความพยาบาท เมื่อมากระทบกระเทือนกันด้วยประการใดก็ดำริความเบียดเบียนทีเดียว เบียดเบียนในการกระทบกระเทือนนั้น ดำริ ดำริในความไม่พยาบาทเป็นดำริที่ลับอยู่ ดำริที่จะออกจากกามนี่ความดำริก็ลับอยู่ ดำริในความไม่เบียดเบียนนี่ก็เป็นดำริลับอยู่ ดำริในความไม่พยาบาทนี่ก็ดำริลับอยู่เหมือนกัน นี่แหละจำเอาไว้ความดำริ ดำริจะออกจากกาม ทำไฉนหนอเราจะออกจาก รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ที่ชอบใจได้
ตั้งแต่เกิดมาแล้ว เดินไปทางไหน ๆ มัน ก็มองดู รูป เสียง กลิ่น รส ที่ชอบใจอยู่ท่าเดียว มันไม่ไปทางอื่นเลย ไอ้ใจมันก็ปรวนแปรอยู่ในนั้นแหละ อยู่ในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสนั่นแหละ ไม่ออก ดำริจะเข้าไปท่าเดียว ดำริอย่างนี้มันดำริเข้าไปในกามท่าเดียว ดำริออกจากกามนี่มันไม่ค่อยมี น้อยนัก
เมื่อดำริเข้าไปในกามแล้ว ดำริก็เป็นไปในความพยาบาทเต็มที่ ระวังกาม หวงกาม หึงกาม เอาล่ะคราวนี้ ระวังกาม หวงกาม หึงกาม เอาล่ะ ความพยาบาทก็มาเต็มที่ ความพยาบาทมาต็มที่แล้ว ความเบียดเบียนก็มาเต็มที่ ไม่ให้ใครมาพ่องแพวกามได้ เกิดเรื่องเกิดราวกันยกใหญ่ นี้พระพุทธเจ้าเห็นนัยนี้ ว่าพระปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ เธอชำนาญในสมาธิแล้ว เราควรจะตรัสในเรื่องปัญญา สัมมาทิฏฐิทีเดียว สัมมาทิฏฐิพระองค์ทรงยกขึ้น สัมมาทิฏฐิ ก็ไม่ได้ตรัสว่ากระไร ตรัสแต่ว่าสำคัญทีเดียว
ว่า เทฺวเม ภิกฺขเว อนฺตา ปพฺพชิเตน น เสวิตพฺพา เทฺวเม ภิกฺขเว อนฺตา ปพฺพชิเตน น เสวิตพฺพา ดูก่อนปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ เทฺวเม ภิกฺขเว อนฺตา ปพฺพชิเตน น เสวิตพฺพา บรรพชิตไม่ควรเสพ บรรพชิตไม่ควร เทฺวเม ภิกฺขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ที่สุดทั้ง ๒ ข้าง บรรพชิตไม่ควรเสพ ที่สุดทั้ง ๒ บรรพชิตไม่ควรเสพ คือกามสุขัลลิกานุโยค ประกอบด้วยกามสุข อัตตกิลมถานุโยค ประกอบด้วยความลำบากเปล่า นี่ที่สุดทั้ง ๒ นี้ กามสุขัลลิกานุโยค อัตตกิลมถานฺโยค ในโลก ความประพฤติเป็นไป ๒ อย่างนี้
กามสุขัลลิกานุโยค นี่ประพฤติอยู่ทั่วแหล่งหล้า ไม่มีว่างเว้นแลย ตั้งบ้านตั้งเรือนกันอยู่ที่ไหน ก็บริโภคกาม ประพฤติกามทั้งนั้น รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส เต็มไปหมด แก้ไม่ตก ๆ เรียกว่า กามสุขัลลิกานุโยค
อัตตกิลมถานุโยค ท่านฤาษีชีไพร ท่านก็ทำความเพียรในป่า ละการบริโภคกาม ครองรสครองเรือนไปแล้ว ไปประพฤติตบะ เพื่อต้องการความวิเศษของตนอีก จะต้องแสวงหากามให้ยิ่งขึ้นไปกว่าที่เขาบริโภคใช้สอยกันอีก ให้ล้นพ้นไปกว่าที่เขาบริโภคใช้สอยอยู่ หนักขึ้นไปกว่านั้นอีก นั่นอัตตกิลมถานุโยคน่ะ จะเอาเลิศเอาประเสริฐหนักขึ้นไป เหมือนภิกษุสามเณรในบัดนี้ เป็นภิกษุสามเณรพออยู่แล้ว ยังจะหาอะไรต่อมิอะไรให้เลิศประเสริฐกว่าขึ้นไปอีก ให้เลิศล้นพ้นประมาณไปกว่าพระภิกษุสามเณรปรกติธรรมดาไปอีก คือถือต้องการให้เลิศหนักขึ้นไป ได้ไปคิดไปทำอะไรต่าง ๆ ทำอัตตกิลมถานฺโยคเหล่านั้น ประกอบตนให้หนักขึ้น จะได้บรรลุกามวิเศษหนักขึ้นไปอีก เหมือนท่านชฎิลทั้ง ๑,๐๐๓ รูปนั่น ปุราณกัสสปะ นทีกัสสปะ คยากัสสปะ ท่านเหล่านั้นแหละ สำหรับรับเครื่องสังเวยในเมืองมคธราช พระเจ้าพิมพิสารนับถือนักทีเดียว เครื่องสังเวยของพระเจ้าพิมพิสาร ไปรับเครื่องสังเวยยอดตาล ถ้าใครจะมีลูกมีผัวมีเมียกันที่ไหนละก็ ต้องให้ปุราณกัสสปะ นทีกัสสปะ คยากัสสปะ ต้องชฎิลเหล่านั้น ต้องชฎิลเหล่านั้น ผู้หลักผู้ใหญ่เขาก็ต้องไปปรองดอง มอบให้ชฎิลเหล่านั้นปกครองเสียก่อน ให้เป็นมงคลพิเศษ นี่แหละ อัตตกิลมถานฺโยค ลึกซึ้งอย่างงั้นแหละ ถึงกระนั้นก็ไม่พ้น เขาก็รู้จะประพฤติว่างเว้นเข้าไปเท่าไรเขาก็รู้ ว่าความประพฤติเหล่านั้นก็ไปแสวงหากามนั่นเอง
นี่พระพุทธเจ้าเห็นแล้ว กามสุขัลลิกานุโยค อัตตกิลมถานุโยค ทั้ง ๒ อย่างนี้ แสวงหากามแบบเดียวกัน แต่ว่าตรงกับทางอ้อม แสวงหาทางตรงหรือทางอ้อม พระองค์ก็ทรงชี้เสียทีเดียว กามสุขัลลิกานุโยค อัตตกิลมถานฺโยค ทั้ง ๒ อย่างนี้ บรรพชิตไม่ควรเสพ ให้เลิกทีเดียว ทรงรับสั่งให้เลิก เลิกขาดทีเดียว เลิกกามสุขัลลิกานุโยค อัตตกิลมถานุโยค เมื่อเลิกเราจะทำยังไง
พระองค์ก็ทรงรับสั่ง กตมา จ สา ภิกฺขเว มชฺฌิมา ปฏิปทา ข้อปฏิบัติเป็นกลางไม่เข้าไปใกล้ซึ่งที่สุดทั้ง ๒ อย่างนั่นนั้น ข้อปฏิบัติเป็นกลางไม่เข้าไปใกล้ซึ่งที่สุดทั้ง ๒ อย่างนั่นนั้น ข้อปฏิบัติเป็นกลางน่ะ กายก็เป็นกลาง วาจาก็เป็นกลาง ใจก็เป็นกลาง เป็นกลางหมด ถ้าว่ากาย หรือวาจา หรือใจไปเป็นลิงเป็นค่างเข้า ก็ไม่ถูกมัชฌิมาปฏิปทา ข้อปฏิบัติเป็นกลาง ไม่เข้าไปใกล้ที่สุดทั้ง ๒ อย่างนั่นนั้น คือ กามสุขัลลิกานุโยค อัตตกิลมถานุโยค ไม่เข้าไปใกล้ทีเดียว ที่พระตถาคตตรัสรู้ด้วยแล้วด้วยปัญญาอันชอบ บอกทีเดียว
ข้อปฏิบัติเป็นกลางเป็นไฉนเล่า อยเมว อริโย อฏฺฐงฺคิโก มคฺโค ฯ สมฺมาทิฏฺฐิ สมฺมาสงฺกปฺโป สมฺมาวาจา สมฺมากมฺมนฺโต สมฺมาอาชีโว สมฺมาวายาโม สมฺมาสติ สมฺมาสมาธิ บอกทางทีเดียว ข้อปฏิบัติเป็นกลางไม่เข้าไปใกล้ที่สุดทั้ง ๒ อย่างนั่นนั้น คือ เห็นชอบ ดำริชอบ กล่าววาจาชอบ การงานชอบ เลี้ยงชีพชอบ เพียรชอบ ระลึกชอบ ตั้งใจชอบ ประกอบด้วยอริยมรรค ๘ ประการ ก็คือศีล สมาธิ ปัญญา นั่นแหละ แต่ว่ายก สมฺมาทิฏฺฐิ สมฺมาสงฺกปฺโป ขึ้นหน้าไว้ นี่แหละพระตถาคตตรัสรู้ด้วยปัญญาอันชอบ
สมฺมาทิฏฺฐิ ความเห็นชอบ เห็นสัจธรรมทั้ง ๔ ทุกข์ เหตุเกิดทุกข์ ความดับทุกข์ ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์
สมฺมาสงฺกปฺโป ความดำริชอบ ดำริจะออกจากกาม ดำริในความไม่พยาบาท ดำริในความไม่เบียดเบียน ดำริในความไม่เบียดเบียน นี่เป็น สฺมมาสงฺกปฺโป
สมฺมาวาจา กล่าววาจาชอบ เว้นจากวจีทุจริต วาจาชอบ คือเว้นจากวจีทุจริต สมฺมาวาจา เว้นจากวจีทุจริต ๔ อย่าง เรียกว่า สมฺมาวาจา วาจาชอบ
สมฺมากมฺมนฺโต ทำการงานชอบ การงานชอบก็เว้นจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม ๓ อย่างนี้ การงานชอบ
สมฺมาอาชีโว เลี้ยงชีวิตชอบ มิจฺฉาอาชีโว ชีวิตํ กปฺเปติ มิจฺฉาอาชีวํ ปหาย ละมิจฉาชีพเสีย สมฺมาอาชีโว ชีวิตํ กปฺเปติ สำเร็จเป็นอยู่ในการเลี้ยงชีพชอบ เลี้ยงชีพดีเสมอทุกวัน ที่จะบริโภคอะไรเข้าไป ของบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ ถ้าบริสุทธิ์ก็บริโภคไป ไม่บริสุทธิ์ละก็ไม่บริโภคทีเดียว กลัวจะเป็นพิษเป็นภัย ไปเป็นร้ายอยู่ในร่างกายนั้น เมื่อของไม่บริสุทธิ์ บริโภคเข้าไปมันก็ไปเป็นเนื้อเป็นเลือดอยู่ข้างใน ไปเป็นเชื้ออยู่ แก้ไม่ตก แก้ลำบากนัก ของไม่บริสุทธิ์ก็ไม่บริโภคทีเดียว บริโภคแต่ของบริสุทธิ์ นี่เรียกว่า สัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีพในการที่ชอบ ไม่หลอกลวงเขาเลี้ยงชีวิต
สมฺมาวายาโม เพียรชอบ เพียรในที่ ๔ สถาน
สมฺมาสติ สติชอบ ระลึกในสติปัฏฐาน ๔
สมฺมาสมาธิ ตั้งใจชอบ ก็ตั้งใจในปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน ในรูปฌาน อรูปฌาน ทั้ง ๘ นั้น อย่างใดอย่างหนึ่ง ก็เป็น สมฺมาสมาธิ ทั้งนั้น
นี่เป็นความจริงบอกจริง นี่คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ดังกล่าวแล้วนี้ สมฺมาทิฏฺฐิ สมฺมาสงฺกปฺโป น่ะเป็นตัวปลายคือตัวปัญญา สมฺมาวาจา สมฺมากมฺมนฺโต สมฺมาอาชีโว เป็นตัวต้นคือศีล สมฺมาวายาโม สมฺมาสติ สมฺมาสมาธิ เป็นตัวกลางสมาธิ สมฺมาทิฏฺฐิ สมฺมาสงฺกปฺโป เป็นตัวปลาย เป็นตัวปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญานี้นี่เอง ไม่ใช่อื่น พระองค์ทรงตรัสเทศนาว่า จกฺขุกรณี กระทำความเห็นให้เป็นปรกติ ญาณกรณี กระทำความรู้ให้ปรกติ อุปสมาย อภิญฺญาย สมฺโพธาย นิพฺพานาย สํวตฺตติ ย่อมเป็นไปเพื่อความเข้าไปสงบระงับ เพื่อความรู้ยิ่งรู้พร้อม เพื่อนิพพาน กระทำความเห็นให้เป็นปรกติ กระทำความรู้ให้เป็นปรกติ ย่อมเป็นไปพร้อมเพื่อความสงบระงับ เพื่อรู้ยิ่งรู้พร้อม เพื่อนิพพาน นี่หลักสำคัญมีเท่านี้
กระทำความเห็นให้เป็นปรกติ ความเห็นของตา ความเห็นของตากายมนุษย์ไม่ปรกติ ความเห็นของตากายมนุษย์ละเอียดก็ไม่ปรกติ ความเห็นไม่ลง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ความเห็นความจริงไม่มี ของกายทิพย์ กายทิพย์ละเอียดก็ไม่มี ของกายรูปพรหม รูปพรหมละเอียดก็ไม่มี ความเห็นของกายอรูปพรหม อรูปพรหมละเอียดก็ไม่มี ไม่ปรกติ ความเห็นเหล่านี้ ความเห็นอยู่ในวัฏฏะ ในกามภพ รูปภพ อรูปภพ ความเห็นไม่ออกนอกวัฏฏะไปได้ เมื่อความเห็นไม่ออกจากนอกวัฏฏะไปได้ ความเห็นอันนั้นเอาเป็นจริงเป็นจังไม่ได้ ความเห็นที่เอาเป็นจริงเป็นจังได้ก็ต้องความเห็นของตาธรรมกาย เห็นด้วยตาธรรมกาย รู้ด้วยญาณธรรมกาย ทั้งหยาบทั้งละเอียด ธรรมกายหยาบ ตาธรรมกายหยาบ ญาณของธรรมกายหยาบ ตาธรรมกายละเอียด ญาณของธรรมกายละเอียด
ความเห็นอันนี้ จกฺขุกรณี เห็นเป็นปรกติ ญาณกรณี กรณีรู้ด้วยญาณ ก็ได้ชื่อว่ารู้เป็นปรกติ สํวตฺตติ ย่อมเป็นไปพร้อมเพื่อเข้าสงบ เพื่อรู้ยิ่ง อุปสมาย เพื่อเข้าไปสงบ อภิญฺญาย รู้ยิ่ง สมฺโพธาย ความรู้พร้อม นิพฺพานาย เพื่อนิพพาน นี่ตรงนี้ ตรงนี้ หลักอยู่ตรงนี้ เพราะฉะนั้นเมื่อพระปัญจวัคคีย์ได้ฟังธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาดังนั้น ได้เข้าใจชัด รู้ชัด แล้วมีธรรมกายขึ้น มีธรรมกายขึ้น ถ้าไม่มีธรรมกายก็ จกฺขุกรณี ญาณกรณี อุปสมาย อภิญฺญาย สมฺโพธาย นิพฺพานาย สํวตฺตติ ก็ไม่มี ที่มีขึ้นก็เพราะ เพราะความเห็นความรู้นั่นเข้าหลักเข้าส่วนแล้ว ถูกเป้าหมายใจดำทางพระพุทธศาสนาแล้ว
เมื่อเห็นเช่นนั้นพระองค์ก็ทรงยกสัจธรรมทั้ง ๔ ขึ้นทีเดียว ประสงค์สัมมาทิฏฐิ ยกทุกข์ เหตุเกิดทุกข์ ความดับทุกข์ ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ จะต้องมีตาธรรมกายเกิด เห็นทุกข์ในกายมนุษย์ กายมนุษย์ละเอียด กายมนุษย์ กายมนุษย์ละเอียดนี่มีเกิด มีเกิดแก่แปรไปตามหน้าที่ ก็เห็นความเกิดนี่เป็นทุกข์สำคัญ เห็นความเกิดแล้วก็ เหตุให้เกิด ว่าเหตุให้เกิดก็รู้เหมือนกัน กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ก็เห็นเหตุให้เกิดอีก เมื่อเห็นว่ามีเกิดแล้ว ก็มองไปดูความดับ เห็นความดับอีก เมื่อมองดูความดับแล้ว ดูเหตุให้ดับ เห็นเหตุให้ดับอีก เห็นทีเดียว ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นเหตุให้ดับ เป็นเหตุให้ดับแท้ ๆ จะเข้าถึงซึ่งเหตุดับไปได้ก็เพราะอาศัย ศีล สมาธิ ปัญญา ที่จะเกิดรุ่งเรืองไปได้ ไม่มีเวลาดับก็เพราะ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา เห็น ๒ อย่าง ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นฝ่ายให้ดับ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ความอยากได้ในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส นั่นแหละ เป็นเหตุให้เกิด เหตุให้เกิด เหตุให้ดับ ๒ อย่างนี้ รู้ชัดทีเดียว
พระองค์ก็ทรงแสดงพระสัจธรรมทั้ง ๔ จบลงไป และทรงแสดงสัจธรรมทั้ง ๔ ให้ปัญจวัคคีย์เข้าใจอีก ให้เข้าใจอีก โดยสัจญาน กิจญาณ กตญาณ ในทุกขสัจ สมุทัยสัจ นิโรธสัจ มรรคสัจ โดยแสดง ทุกขสัจ สมุทัยสัจ นิโรธสัจ มรรคสัจ ให้เห็นตามความเป็นจริง เมื่อเห็นตามความเป็นจริงแล้ว เห็นว่าตัวทุกขสัจน่ะควรกำหนดรู้ ส่วนสมุทัยสัจน่ะควรละ นิโรธสัจน่ะควรกระทำให้แจ้ง มรรคสัจน่ะควรเจริญขึ้น ก็ได้รู้แล้วเห็นแล้ว ส่วนทุกขสัจน่ะ ได้กำหนดรู้แล้ว ส่วนสมุทัยสัจได้ละแล้ว ส่วนนิโรธสัจได้กระทำให้แจ้งแล้ว ส่วนมรรคสัจได้เจริญแล้ว
เมื่อเห็นสัจญาณ กิจญาณ กตญาณ ทุกขสัจ ในทุกขสัจ สมุทัยสัจ นิโรธสัจ มรรคสัจ ปรากฏชัดแล้ว พระปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ พระปัญจวัคคีย์ อัญญาโกณฑัญญะก็รู้ก็เข้าใจ พระองค์ทรงแสดงเป็นลำดับไป พอจบเทศนาของพระองค์ลงไปเท่านั้นไป อายสฺมโต อญฺญาโกณฺฑญฺญสฺส วิรชํ วีตมลํ ธมฺมจกฺขุํ อุทปาทิ ธรรมจักขุก็บังเกิดขึ้นแก่พระอัญญาโกณฑัญญะอันสะอาดผ่องใส ธรรมจักขุบังเกิดขึ้นแก่พระอัญญาโกณฑัญญะ ธมฺมจกฺขุํ อุทปาทิ ธมฺมจกฺขุํ อุทปาทิ ธมฺมจกฺขุํ เห็นธรรม ความเห็นธรรม ธมฺมจกฺขุํ แปลว่า เห็นธรรมที่เกิดขึ้น ความเห็นธรรมได้เกิดขึ้น วิรชํ วีตมลํ ธมฺมจกฺขุํ ความเห็นธรรมไม่มีธุลีและมลทิน ความเห็นธรรมปราศจากธุลีและมลทินได้เกิดขี้นแก่ผู้มีอายุคือพระอัญญาโกณฑัญญะว่า
ยงฺกิญฺจ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมํ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งปวงนั้นดับไปเป็นธรรมดา สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเสมอ สิ่งทั้งปวงนั้นดับเสมอ มีเกิดดับ เห็นเกิดดับหมดทั้งสากลโลก เมื่อเห็นเกิดดับเช่นนั้นแล้ว ฝ่ายพระอัญญาโกณฑัญญะก็ได้บรรลุธรรมะผ่องใส
แล้วพระองค์มาโปรดพระปัญจวคีย์ มาโปรดพระยสะราชกุมารทั้งหลายเหล่านี้อีก มาโปรดราชกุมารทั้งหลายเหล่านี้ ต่อแต่นี้พระปัจจวัคคีย์ก็ได้ฟังบ้าง พระปัญจวัคคีย์หรือพระพุทธเจ้าได้เทศนาบ้าง นี่แสดงถึงอนัตตลักขณสูตรทีเดียว ที่ยังสงสัยในร่างกายอยู่บ้าง ในเบญจขันธ์ทั้ง ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ พระองค์ทรงแสดงให้เห็นชัดทีเดียวในอนัตตลักขณสูตร ว่ารูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณน่ะไม่ใช่ตัวน่ะ ถึงได้ทรงวางตำรับตำราเพื่อเป็นแบบแผนไว้ว่า
รูปํ ภิกฺขเว อนตฺตา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย รูปไม่ใช่ตัว
รูปญฺจ หิทํ ภิกฺขเว อตฺตา อภวิสฺส รูปจักไม่เป็นตัวแล้ว
นยิทํ รูปํ อาพาธาย สํวตฺเตยฺย ไม่ได้ในรูปตามใจหวังได้ รูปอันนี้ก็ไม่ใช่ ไม่ได้เป็นไปเพื่อความป่วยไข้ ไม่ได้ในรูปตามใจหวังได้ ขอรูปของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด รูปของเราอย่าเป็นอย่างนั้นเลย
ยสฺมา จ โข ภิกฺขเว รูปํ อนตฺตา ตสฺมา รูปํ อาพาธาย สํวตฺตติ รูปไม่ใช่ตัว เพราะเหตุใดรูปไม่ใช่ตัว เพราะเหตุนั้นรูปถึงเป็นไปเพื่อความอาพาธ ป่วยไข้ ไม่ใช่ได้ในรูปตามใจหวังว่า ขอรูปของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย เวทนา สัญญา สังขาร แบบเดียวกัน เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณแบบเดียวกัน ไม่ใช่ตัวแบบเดียวกัน ถ้าว่าไม่ใช่ตัวแล้ว ไอ้ที่ไม่ใช่ตัวน่ะ ถึงได้เป็นไปเพื่ออาพาธป่วยไข้ ไม่ได้ในเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ตามใจหวังว่า ขอเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จงเป็นอย่างนี้เถิด อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย เพราะเหตุใด เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณไม่ใช่ตัว เพราะเหตุนั้น เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ถึงเป็นไปเพื่อความอาพาธป่วยไข้ ไม่ใช่ได้เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ตามใจหวังได้ ขอ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด อย่าเป็นอย่างนี้เลย ไม่ได้สมความปรารถนา ความจริงเป็นอย่างนี้
เมื่อความจริงเป็นอย่างนี้ เมื่อความจริงเป็นอย่างนี้ เข้าใจชัดแล้ว พระองค์ก็ทรงตรัสย้อนถามภิกษุที่สดับตรับฟังในยสะกุลบุตรทั้ง ๕๕ ถามทบอีกทีหนึ่ง ตํ กิํ มญฺญถ ภิกฺขเว รูปํ นิจฺจํ วา อนิจฺจํ วา ถามพระปัญจวัคคีย์
ตํ กิํ มญฺญถ ภิกฺขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ท่านสำคัญ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นั้นเป็นไฉน รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณน่ะเที่ยงหรือไม่เที่ยงล่ะ อนิจฺจํ ภนฺเต ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ หรือเป็นสุขล่ะ ทุกฺขํ ภนฺเต เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า สิ่งใดไม่เที่ยงเป็นทุกข์ สิ่งนั้นควรหรือ สิ่งใดไม่เที่ยงเป็นทุกข์ ควรหรือ ตามเห็นสิ่งนั้นว่าสิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา ควรหรือตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นเป็นเรา นั่นเป็นของเรา นั่นเป็นตัวของเรา โน เหตํ ภนฺเต หาเป็นอย่างนั้นไม่ พระเจ้าข้า โน เหตํ ภนฺเต หาเป็นอย่างนั้นไม่ พระเจ้าข้า
พระองค์ทรงถามไปทีละข้อ ๆ ๆ ๕ ขันธ์ พอจบ ๕ ขันธ์ แล้วทรงรับสั่งอีก ตสฺมาติห ภิกฺขเว ตสฺมาติห ภิกฺขเว ยงฺกิญฺจฺ รูปํ อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนํ
ตสฺมาติห ภิกฺขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ยงฺกิญฺจิ รูปํ รูปอันใดอันหนึ่ง
อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนํ ในอดีต ปัจจุบัน อนาคต
อชฺฌตฺตํ วา รูปภายในหรือ พหิทฺธา วา หรือว่าภายนอก
โอฬาริกํ วา หยาบหรือ ปณีตํ วา หรือประณีต หยาบหรือประณีต
ยนฺทูเร สนฺติเก วา ไกลหรือใกล้
สพฺพํ รูปํ รูปก็สักแต่ว่ารูป เนตํ มม นั่นไม่ใช่ของเรา
เนโสหมสฺมิ นั่นไม่เป็นเรา น เมโส อตฺตาติ นั่นไม่ใช่ตัวของเรา
เอวเมตํ ยถาภูตํ สมฺมปฺปญฺญาย ทฏฺฐพฺพํ ควรเห็นตามความเป็นจริงอย่างนี้
ให้ภิกษุปัญจวัคคีย์ หรือให้ภิกษุ ๑,๒๕๐ เข้าใจในอนัตตลักขณสูตรนี้ ทราบชัดขันธ์ทั้ง ๕ แบบเดียวกันอย่างนี้แหละ
เมื่อปรากฏจบ เมื่อปรากฏจบในปัญจขันธ์ทั้ง ๕ ที่พระองค์ทรงถามดังนี้แล้ว พอจบลงเท่านั้น พระองค์ทรงรับสั่งว่า
เอวํ ปสฺสํ ภิกฺขเว สุตวา อริยสาวโก ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกเมื่อได้เห็นอยู่อย่างนี้
รูปสฺมิํปิ นิพฺพินฺทติ ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในรูปบ้าง
เวทนายปิ นิพฺพินฺทติ ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในเวทนาบ้าง
สญฺญายปิ นิพฺพินฺทติ ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในสัญญาบ้าง
สงฺขาเรสุปิ นิพฺพินฺทติ ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในสังขารบ้าง
วิญฺญาณสฺมิํปิ นิพฺพินฺทติ ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในวิญญาณบ้าง
นิพฺพินฺทํ วิรชฺชติ เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมสิ้นกำหนัด
เพราะสิ้นกำหนัด จิตก็หลุดพ้น เมื่อจิตหลุดพ้นแล้วก็เกิดญาณรู้ขึ้นว่าเราพ้นแล้วดังนี้ ว่าเราพ้นแล้วดังนี้ อริยสาวกนั้นก็ทราบชัดว่าชาติของเราสิ้นแล้ว พรหมจรรย์เราได้อยู่จบแล้ว กิจที่จะต้องทำเราได้ทำเสร็จแล้ว กิจเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี จิตของภิกษุพระปัญจวัคคีย์ก็หลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย ด้วยไม่ถือมั่นอะไร ๆ ในโลก ด้วยประการดังนี้
นี่พระองค์ทรงตรัสเทศนาเป็นใจความกับท่านผู้มีธรรมอุปนิสัยแก่กล้า แบบชัด ๆ แบบตรง ๆ ตามความเป็นจริงอย่างนี้ ท่านผู้ฟังก็เห็นจริง ตามจริง ไม่เห็นว่าเพี้ยนไปอย่างหนึ่งอย่างใด ก็รู้ชัดเห็นชัด เมื่อรู้ชัด เห็นชัด ปฏิบัติถูกส่วนเข้า ดำเนินใจถูกส่วนก็พ้นจากอาสวะได้ สมความปรารถนา
ที่ได้ชี้แจงแสดงมานี้ ตามวาระพระบาลีเพื่อเป็นปฏิการสนองประคองศรัทธาประดับสติปัญญาคุณสมบัติของท่านผู้พุทธบริษัท ทั้งคฤหัสถ์บรรพชิต บรรดามาสโมสรในสถานที่นี้ทุกถ้วนหน้า อาตมภาพชี้แจงแสดงมาพอสมควรแก่เวลา ด้วยอำนาจสัจวาจาที่ได้อ้างธรรมเทศนาตั้งแต่จนอวสานนี้ สทา โสตฺถี ภวนฺตุ เต ขอความสุขสวัสดีจงบังเกิดมีแด่ท่านทั้งหลาย บรรดามาสโมสรในสถานที่นี้ทุกถ้วนหน้า สิทฺธมตฺถุ สิทฺธมตฺถุ สิทฺธมตฺถุ อิทํ ผลํ เอตสฺมิํ รตนตฺตยสฺมิํ สมฺปสาทนเจตโส ขอจิตอันเลื่อมใสในพระรัตนตรัยของท่านทั้งหลาย บรรดาที่ได้มาสโมสรในสถานที่นี้ทุกถ้วนหน้า จงเป็นไปให้สำเร็จสมความปรารถนาทุกสิ่งทุกประการ ดังอาตมภาพประธานวิสัชนามาพอสมควรแก่เวลา สมมติว่ายุติธรรมิกถาโดยอรรถนิยมสมควรเพียงเท่านี้
เอวํ ก็มีด้วยประการฉะนี้ ฯ