อยู่ในระหว่างการทดสอบการใช้งาน

โอวาทปาติโมกข์

โอวาทปาติโมกข์

๒๗ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๔๙๙

 

          อิทานิ ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ปรินิพฺพานโต ปฏฺฐาย เอกูนสตจตุสตาธิกานิ เทฺว สํวจฺฉรสหสฺสานิ อติกฺกนฺตานิ ปจฺจุปนฺนกาลวเสน มาฆมาสสฺส สตฺตวีสติมํ ทินํ วารวเสน ปน สุกฺกวาโร โหติ  เอวํ ตสฺส ภควโต ปรินิพฺพานา สาสนายุกาล คณนา สลฺลกฺเขตพฺพา สกฺกจฺจํ ธมฺโม โสตพฺโพติ ฯ

          ศุภมัสดุ พระพุทธศาสนายุกาล จำเดิมแต่ปรินิพพานของพระองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น บัดนี้ล่วงแล้วได้ ๒๔๙๙ พรรษา ปัจจุบันสมัย กุมภาพันธมาส สุรทินที่ ๒๗ ศุกรวาร ศาสนายุกาล จำเดิมแต่ปรินิพพานแห่งพระองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น  มีนัยอันจะพึงกำหนดนับด้วยประการฉะนี้  เบื้องหน้าแต่นี้จงตั้งสมนาหารจิต ฟังธรรมภาษิตดังจะแสดงต่อไปนี้โดยเคารพเทอญ

          นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส (๓ หน)

          อุทฺทิฏฐํ โข เตน ภควตา ชานตา ปสฺสตา อรหตา สมฺมาสมฺพุทฺเธน โอวาทปาติโมกฺขํ ตีหิ คาถาหิ

          ขนฺตี ปรมํ ตโป ตีติกฺขา
          นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา
          น หิ ปพฺ
พชิโต ปรูปฆาตี
          สมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนฺโต

สพฺพปาปสฺส อกรณํ       กุสลสฺสูปสมฺปทา
สจิตฺตปริโยทปนํ            เอตํ พุทฺธาน สาสนํ ฯ
อนูปวาโท อนูปฆาโต      ปาติโมกฺเข จ สํวโร
มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมิํ    ปนฺตญฺจ สยนาสนํ
อธิจิตฺเต จ  อาโยโค        เอตํ พุทฺธาน สาสนนฺติ ฯ

โอวาทปาติโมกฺขาทิปาโฐ
พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

 

          ณ บัดนี้ อาตมภาพจักได้แสดงธรรมิกถา เพราะวันนี้เป็นวันมาฆบูชา เป็นวันปัณรสีดิถีที่ ๑๕ ค่ำ แห่งปักษ์ในมาฆมาส ในวันมาฆะนี้ในทางพระพุทธศาสนาถือเป็นวันสำคัญ แม้ภิกษุสามเณร อุบาสกอุสาสิกา ก็ควรเอาใจใส่ ในวันมาฆบูชานี้เป็นวันที่พระบรมศาสดาทรงวางหลักฐานของพระพุทธศาสนาให้มั่นคงไว้ในสกลพุทธศาสนา ในวันมาฆบูชาเช่นนี้ อุบาสิกาอุบาสกเล่าก็พากันเอาใจใส่ ครั้งพุทธกาลบริษัททั้ง ๔ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เอาใจใส่นัก เพราะเหตุว่าวันนี้เป็นวันที่พระบรมศาสดาให้หลักฐานแก่พระสาวกซึ่งมาประชุมพร้อมกันในที่อันเดียวกัน ๑,๒๕๐ รูป ๑,๒๕๐ รูป ไม่ได้แนะนัดกันเลย ต่างฝ่ายต่างก็จะไปเฝ้าพระศาสดา ต่างฝ่ายต่างคิดมาด้วยใจของตนเองไม่ได้ชักชวนซึ่งกันและกันเลย มาพร้อมกันเข้า พระองค์เห็นว่ากาลสมควรเช่นนั้น ควรที่จะวางรากฐานพระพุทธศาสนาให้มั่นคงเอาไว้ พระองค์ถึงได้ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ขึ้นในวันนั้น แต่ในบัดนี้ เราท่านทั้งหลาย ภิกษุสามเณร อุบาสกอุสาสิกาเล่า เมื่อมาถึงวันนี้เข้า ก็ควรจะได้ฟังโอวาทอันนี้ ตามวาระพระบาลีที่ยกขึ้นไว้ในเบื้องต้น ว่า  อุทฺทิฏฺฐํ โข เตน ภควตา ชานตา ปสฺสตา อรหตา สมฺมาสมฺพุทฺเธน โอวาทปาติโมกฺขํ ตีหิ คาถาหิ เป็นอาทิ

          ว่า โอวาทปาติโมกข์ โอวาทปาติโมกฺขํ ตีหิ คาถาหิ   โอวาทปาติโมกฺขํ แปลว่า โอวาทปาติโมกข์ ทับศัพท์ ไม่ได้แปล ทับศัพท์  โอวาทปาติโมกฺขํ โอวาทปาติโมกข์  เตน ภควตา อันว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น  ชานตา รู้แล้ว  ปสฺสตา เห็นแล้ว ไม่ใช่แสดงโดยอาการไม่เปิดเผย แสดงโดยเปิดเผย พระองค์ทรงรับสั่งว่า พระองค์ว่าทรงรู้แล้วเห็นแล้วนะ ไม่รู้ไม่เห็นไม่เอามาแสดง รู้แล้วเห็นแล้ว ไม่เคลื่อนคลาดละ  ชานตา รู้แล้ว  ปสฺสตา  เห็นแล้ว  อรหตา ท่านเอง ท่านรับสั่งว่าท่านเอง ว่าท่านเป็นผู้หมดกิเลส แต่ว่าพูดเป็นมคธภาษาเราไม่รู้ เป็นผู้หมดกิเลส  สมฺมาสมฺพุทฺเธน ท่านเป็นผู้ตรัสรู้แล้วเองโดยชอบ ท่านเป็นผู้ตรัสรู้แล้วเองโดยชอบ  อุทฺทิฏฺฐํ โข แสดงขึ้นแล้วแล ทรงแสดงขึ้นแล้ว  อุทฺทิฏฺฐํ โข ทรงแสดงขึ้นแล้ว  ตีหิ คาถาหิ ด้วยคาถาทั้งหลาย ๓ แสดงขึ้นแล้ว ๓ พระคาถา ต่อแต่นี้จะแปลเป็นคาถา ๆ ไป แล้วจะอรรถาธิบายเป็นลำดับไป

        ว่า  ขนฺตี ปรมํ ตโป ตีติกฺขา ความอดทน คือความอดใจ เป็นตปธรรมอย่างยิ่ง  นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา พระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่ใช่พระองค์นี้องค์เดียว พระพุทธเจ้าทั้งหลายกล่าวนิพพานว่าเป็นเยี่ยม นิพพานน่ะเป็นเยี่ยมทีเดียว พระพุทธเจ้าทั้งหลายกล่าวนิพพานว่าเป็นเยี่ยม  น หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตี เป็นนักบวชไม่เข้าไปฆ่า ต้องเว้นจากการฆ่า ไม่เข้าไปฆ่าเด็ดขาดเชียว  สมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนฺโต เป็นสมณะ เป็นสมณะพวกสงบระงับ ไม่เบียดเบียนเป็นอันขาดเหมือนกัน เป็นบรรพชิตไม่เข้าไปฆ่า เป็นสมณะไม่เบียดเบียน นี่พระคาถาหนึ่ง

          คาถาที่ ๒ รองลำดับลงไป เป็นคาถาที่ ๒  สพฺพปาปสฺส อกรณํ ไม่ทำความชั่วด้วยกาย และวาจา ตลอดถึงใจ  กุสลสฺสูปสมฺปทา ยังกุศลธรรมให้ถึงพร้อม คือทำความดีให้มีขึ้น  สจิตฺตปริโยทปนํ ทำใจให้ผ่องใส  เอตํ พุทฺธาน สาสนํ นี้เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่ใช่องค์เดียว นี่เป็นคาถาที่ ๒

          คาถาที่ ๓ ตามลำดับลงไปอีก  อนูปฆาโต ไม่เข้าไปฆ่า  อนูปวาโท  ไม่เข้าไปว่า  ปาติโมกฺเข จ สํวโร สำรวมในพระปาติโมกข์  มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมิํ รู้จักประมาณในภัต  ปนฺตญฺจ สยนาสนํ เสนาสนะอันสงัดเป็นที่โปรดของพระบรมศาสดา  อธิจิตฺเต จ อาโยโค ประกอบในอธิจิต อธิจิตน่ะ ประสงค์ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌานทีเดียว

          เอตํ พุทฺธาน สาสนํ นี้แหละคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย  นี้ที่แสดงไว้แล้วนี้ ๓ พระคาถา แปลมคธภาษาเป็นสยามภาษา ต่อแต่นี้จะอรรถาธิบายเป็นลำดับไป

         นี่พระองค์ทรงรับสั่งด้วยพระองค์เอง ว่า โอวาทปาติโมกข์น่ะ  โอวาทปาติโมกฺโข โอวาท แปลว่าโอวาท  ปาติโมกฺโข แปลว่าธรรมเครื่องพ้น ธรรมเครื่องพ้นซึ่งเป็นโอวาทของพระบรมศาสดา เรียกว่า โอวาทปาติโมกข์ ธรรมเป็นเครื่องพ้นซึ่งเป็นโอวาทของพระบรมศาสดา นี้เรียกว่าโอวาทปาติโมกข์ อันพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ผู้รู้แล้วเห็นแล้ว แต่ความรู้ความเห็นนี่แหละ เราไม่เข้าใจนะ ท่านจะเห็นอย่างใด รู้อย่างใด ผิดกับเรารู้ เออ เรื่องนี้กล่าวให้ฟังได้ รู้แล้วเห็นแล้วน่ะรู้อย่างไร เรื่องรู้น่ะเราก็รู้เหมือนกัน ไม่เห็น เรื่องเห็นน่ะเราก็เห็นเหมือนกัน แต่ไม่รู้ อย่างนี้ก็มี นี่ท่านทั้งรู้ทั้งเห็น เราทั้งรู้ทั้งเห็น รู้น่ะรู้ได้อย่างไง เรารู้เห็นด้วยตามนุษย์เรานี่แหละ สิ่งทั้งหลายมนุษย์เราก็รู้หรอก รู้เห็นมนุษย์ด้วยตามนุษย์อย่างเรานี่แหละ อย่างนี้ก็รู้เห็นชนิดหนึ่ง รู้เห็นอีกชนิดหนึ่ง รู้เห็นอย่างนอนฝัน ฝันไปทำในเรื่องฝัน หน้าที่ของฝันไป กายในมนุษย์ละเอียดน่ะมันไปทำหน้าที่ฝันมันไป ทำหน้าที่ฝันจนเสร็จเรื่องละก็ ในเรื่องนั้นรู้เห็นมาตลอดเหมือนกัน เพราะไม่รู้ไม่เห็นเอามาเล่าให้ฟังไม่ได้ เพราะมันรู้เห็น แต่ว่าใครอะไร ใครรู้เห็นล่ะ ไอ้ตามนุษย์นี่ไปเห็นรึ ไอ้ใจมนุษย์นี่ไปรู้รึ หา ตามนุษย์นี่หลับ ใจมนุษย์ก็หลับ ไม่รู้ไม่เห็น ตามนุษย์ใจมนุษย์ไม่รู้ แต่ว่ากายมนุษย์ละเอียดที่นอนฝันออกไป กายมนุษย์ละเอียด ไอ้ที่ไปเกิดมาเกิดน่ะ เวลานอนฝันเข้าไป มันไปทำหน้าที่ฝันของมัน มันทั้งรู้ทั้งเห็นเหมือนกัน พอเวลาจะตื่นขึ้น ไอ้กายมนุษย์ที่มันหลับที่มันฝันนั่น มันก็เอาเรื่องนั้นมารายงานกะกายมนุษย์หยาบนี่ กายมนุษย์หยาบนี่ พอรายงานเสร็จแล้วก็ตื่นขึ้น ตื่นขึ้นก็จำได้ จำได้ก็เล่าแทน เล่าแทนไอ้กายมนุษย์ละเอียดไป บางทีก็รัว ๆ บางทีจำได้บ้างไม่ได้บ้าง รัว ๆ ไปซะ บางทีก็ชัดดี บางทีรัว ๆ เพราะไอ้กายมนุษย์ละเอียดมารายงานให้ฟัง ก็จำเอามา ไม่ได้รู้เองเห็นเอง แต่ว่ากายมนุษย์ละเอียด ไอ้ที่มันนอนฝันน่ะมันรู้เองเห็นเองละ

          แต่เรื่องนี้ ผู้เทศน์นี้ได้ไต่สวนทางพุทธศาสนาชัดเจนแล้ว หลายชั้นจริงความรู้ความเห็น ไม่ใช่รู้เห็นแต่เพียงกายมนุษย์ใจมนุษย์นี่เท่านั้น รู้เห็นกายมนุษย์ละเอียด ก็มีเห็นมีรู้เหมือนกัน ไม่ใช่มีเห็นมีรู้แต่กายมนุษย์ละเอียดเท่านั้น ฝันในฝันยังมีอีก

          กายทิพย์ยังมีเห็นอีก กายทิพย์ยังมีเห็นมีรู้อีก ไม่ใช่เท่านั้น กายทิพย์มีเห็นมีรู้เหมือนกัน กายทิพย์ละเอียดก็มีเห็นมีรู้อีกเหมือนกัน แบบเดียวกัน ชัดกว่ากันอีก ถ้าละเอียดเข้าไปชัดหนักเข้า ละเอียดเข้าไปชัดหนักเข้า

          ไม่ใช่เท่านั้น กายรูปพรหมที่อยู่ในพรหม ๑๖ ชั้นน่ะ มีเห็นมีรู้แบบเดียวกับมนุษย์นี่แหละ ไม่ใช่เท่านั้น กายรูปพรหมละเอียดที่อยู่ในรูปพรหมนั่นแหละ มีเห็นมีรู้อีกเหมือนกัน

          สูงขึ้นไปกว่านั้น กายอรูปพรหมก็มีรู้มีเห็นอีกเหมือนกัน กายอรูปพรหมละเอียดก็มีรู้มีเห็นเหมือนกัน เอ๊ะ ก็เป็นอรูปพรหมแล้วยังมีอะไรอีกหรือ อรูปพรหมไม่มีรูปไม่ใช่หรือ เปล่า ก็อมนุษย์มีถมไปไงล่ะ อมนุษย์น่ะ นอกจากมนุษย์น่ะ สัตว์เดรัจฉานน่ะก็อมนุษย์ เปรต อสุรกายก็อมนุษย์ เทวดา ๖ ชั้นฟ้า อมนุษย์ทั้งนั้น ไม่ใช่มนุษย์ ส่วนมนุษย์นี่ก็มนุษย์ส่วนหนึ่ง ก็นี่อรูปพรหมมันไม่ใช่รูปพรหม มันละเอียดกว่ารูปพรหม เขาเรียกว่าอรูปพรหมมันพ้นจากรูปพรหมไปเสีย พ้นจากรูปพรหมไปเสีย เรียกว่า อรูปพรหม

          ส่วนพระพุทธเจ้าท่านเป็นผู้รู้ ท่านเป็นผู้รู้ผู้เห็นน่ะ รู้เห็นด้วยวิธียังไง ต้องขึ้นไปอีก เลยรูปพรหม อรูปพรหมขึ้นไป ก็มีกายธรรม รูปพระปฏิมากรเกตุดอกบัวตูม ใสเป็นกระจกคันฉ่องส่องเงาหน้า หน้าตักหย่อนกว่า ๕ วา สูงหย่อนกว่า ๕ วา กายธรรม มีกายธรรมละเอียด กายธรรมละเอียด หน้าตัก ๕ วา สูง ๕ วา นั่นกายธรรมนั่นแหละ เป็นพระตถาคตเจ้าทีเดียว ที่พระองค์ทรงกล่าวกับพระวักกลิว่า  อปฺเปหิ วกฺกลิ หิ  วักกลิจงถอยออกไป  อิมํ ปูติกายํ น ทสฺสนํ ดูไยร่างกายของตถาคตเป็นของเปื่อยเน่า  โย โข วกฺกลิ ธมฺมํ ปสฺสติ โส มํ ปสฺสติ ว่าสำแดงวักกลิ ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ผู้ตถาคต  ธมฺมกาโย อหํ อิติปิ เราผู้ตถาคต คือ ธรรมกาย

          ธรรมกายเป็นตัวพระตถาคตเจ้าเชียวนะ ธรรมกายโคตรภู ธรรมกายหยาบ ธรรมกายละเอียดโคตรภู ธรรมกายหยาบ ธรรมกายละเอียดโสดา ธรรมกายหยาบ ธรรมกายละเอียดของพระสกทาคา ธรรมกายหยาบ ธรรมกายละเอียดของพระอนาคานั่นยังหรอก ยังไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้าที่  ชานตา ปสฺสตา ธรรมกายหยาบ ธรรมกายละเอียดของพระอรหัตนั่นแน่ ตถาคตเจ้า พระองค์นี้แน่ะ องค์ที่ ๑๐ นี่แหละ นี่แหละ ที่ท่านทรงรับสั่งว่า  อุทฺทิฎฺฐํ โข เตน ภควตา ชานตา ปสฺสตา อรหตา สมฺมาสมฺพุทฺเธน ล่ะ องค์นี้ ๆ เป็นผู้กล่าว  โอวาทปาติโมกฺขํ ตีหิ คาถาหิ องค์นี้แหละเป็นผู้กล่าว องค์นี้แหละปฏิญาณตนว่าเป็นผู้รู้ผู้เห็นนี้แหละ ผู้รู้เองเห็นเองล่ะ  ชานตา รู้  ปสฺสตา เห็น เห็นด้วยตาธรรมกาย รู้ด้วยญาณธรรมกาย เห็นจริงรู้จริง ไม่ใช่คาดคะเนด้นเดา เห็นจริงรู้จริง เมื่อเห็นจริงรู้จริง จึงได้ทรงกล่าว จึงได้ทรงแสดงขึ้น ทรงแสดงโดยคาถาทั้ง ๓ คาถา ดังพรรณนาต่อไป

          ว่า  ขนฺตี ปรมํ ตโป ตีติกฺขา นี้แหละจำไว้เถอะ หญิงก็จำไว้เถอะ ชายก็จำไว้เถอะ พระพุทธเจ้าให้นิพพานไว้ชัด ๆ ทีเดียว ให้นิพพานไว้ชัด ๆ ทีเดียว หญิงจะไปนิพพานก็ต้องตั้งอยู่ในความอดทน ชายจะไปนิพพานก็ต้องตั้งอยู่ในความอดทน ถ้าไม่อดทนไปนิพพานไม่ได้ ต้องอดทนกันจริง ๆ เห็นด้วยตาก็สักแต่ว่าเห็น ได้ยินด้วยหูก็สักแต่ว่าได้ยิน ได้ทราบด้วยจมูกก็สักแต่ว่าทราบ ได้ทราบด้วยลิ้นก็สักแต่ว่าทราบ ได้ทราบด้วยกายก็สักแต่ว่าทราบ ได้รู้แจ้งทางใจก็สักแต่ว่ารู้ จะไปเอาเป็นชิ้นเป็นอันเป็นแท่งเป็นก้อนไม่ได้ ก็สักแต่ว่าไปเท่านั้นแหละ มันจะเป็นอย่างใดก็ช่างของเรื่องมัน ก่อนเราเกิดมา รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์เหล่านี้มันก็มีอยู่แล้ว กำลังเราเกิดมาปราฏอยู่ในบัดนี้ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์เหล่านี้ มันก็มีอยู่แล้ว เราจะตายไปเสียแล้ว รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์เหล่านี้มันก็มีอยู่แล้ว เราจะไปเป็นเจ้าของมันไม่ได้หรอก มันไม่ใช่ของใคร มันเป็นของกลาง ๆ ถ้าเราจะไปเป็นเจ้าของพวกของกลางเข้านี่มันเป็นอย่างไร เราก็จะตระหนกล่ะสิ ไอ้นี่เห็นจะสติวิการไปเสียแล้ว เราไปในทะเล แล่นเรือใบ เรือกลก็ตามเถอะ หรือเรือสมุทรใหญ่ เรือกลไฟใหญ่ก็ตาม พอไปถึงทะเลละก็ ดีอกดีใจ หัวเราะร่าเริง นี่ของข้า ๆ ไม่ใช่ของใคร ของข้าแท้ ๆ ใครจะมายุ่งไม่ได้ ทะเลของข้า หนอยแน่ะ มันจะถือเอาทะเลเข้าแล้วเป็นของของมัน เอาเข้าสิ เราจะว่าไงล่ะ อีกคนหนึ่งไม่เช่นนั้น เข้าไปในป่าใหญ่ ๆ มันก็ยิ้มหัวเราะร่าเริง ว่าไอ้ป่านี่ของข้า ป่าของข้า เอาละสิ ๆ เราจะว่าไงกัน ไอ้นี่คงยังไงละหว่า หากว่าหญิงก็ไอ้นี่มันเป็นยังไงละหว่า  ชายก็เป็นยังไงละหว่า สติมันจะวิการไปเสียแล้วละเจ้า นั่นแน่ เราก็หาว่าเท่านั้นเข้านะ เพราะทะเลเป็นของใคร มันก็เป็นของกลาง ใครจะเอามันได้ ป่ามันก็เป็นของกลาง ใครจะเอามันได้ ตอนนี้มันไป มันไปเรือบินในอากาศ ไปพบอากาศว่าง ๆ ก็โอ๊ะ ๆ ๆ ๆ หัวเราะร่าเริงบันเทิงใจ อากาศนี่ของข้า ของกู ใครจะมายุ่งไม่ได้ มันก็ถือมันมั่นคงทีเดียว เราก็จะเอาอีกแล้ว ไอ้นี่ ไม่ได้การละเว้ย จะต้องระวังกระโจนเครื่องบินกันละวะ มันเลยตัวไปแล้ว นี่เราก็จะตกใจอย่างนี้ นี่ฉันใด เราก็ถือเอารูปเป็นของของเราเป็นยังไงบ้าง เออไอ้รูปนี่ของข้า รูปนี่ของข้าล่ะ เราจะเป็นยังไงบ้างนึกดูซิ รูปของข้าละ รูปใครล่ะ รูปสามีภรรยา รูปบุตรธิดา นี่ล่ะน่ะ ไม่ใช่รูปใครล่ะ รูปถ้วยโถโอจานเหล่านี้แหละ ว่าของข้า ๆ ล่ะก็ เอ๊ะ ๆ ๆ ๆ ๆ อ้ายนี่มันจะเป็นยังไงล่ะ ใจคอมันเป็นยังไงซะแล้วหรือ เราก็จะไถ่ถามใจคอเป็นยังไงไปแล้วหรือนี่ เพราะไม่รู้จักของกลาง ไปถือว่าของข้าไปซะหมด นี่ไปยึดถือเอาอย่างนี้

          ยึดถืออย่างนี้ผิดหรือถูก ผิด ผิดจากขันตี ผิดจากความอดทน ขันตีไม่ใช่ประสงค์อย่างนั้น ขันตีอดทนจริง ๆ อดทนและอดใจด้วย ยินดีในรูปเสียง รักมันรักในรูป รักใคร่ในรูปเสียงให้ใจขาด ยินดีก็ยินดีไป รักก็รักไป อดทน เฉย ก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ซะ ทำเป็นไม่เอาใจใส่เสียอย่างงั้นแหละ

          รูปก็อดทนเสีย เสียงก็อดทนเสีย ยินดีในเสียง ยินดีในกลิ่นก็อดทนเสีย ยินดีในรสก็อดทนเสีย ยินดีในสัมผัสก็อดทนเสีย ไม่ยุ่งกับมันละ ยินดีอารมณ์ที่เกิดกับใจก็ไม่ยุ่ง วางใจเป็นกลาง หยุด เฉย ยิ้มแฉ่งเชียว อย่างนี้ อย่างนี้คนมีปัญญา อย่างนี้คนเห็นถูก อย่างนี้คนทำถูก อย่างนี้คนมีขันตี อดทน นี่แหละอดทนอย่างนี้แหละใช้ได้ อดทนอย่างนี้แหละไม่ไปไหนล่ะ ไปนิพพานตรงทีเดียว ถ้าอดทนได้อย่างนี้ไปนิพพานทีเดียว

          นิพพานน่ะเป็นยังไงล่ะ ครั้นจะแสดงให้กว้างออกไป กว่านี้นะ เวลาไม่พอนะ มันน้อย จำกัดเวลาหน่อย เรื่องมาก พระผู้มีพระภาคทรงรับสั่งว่า  นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา แปลสยามภาษาว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงรับสั่งว่านิพพานเป็นเยี่ยม เยี่ยมยังไง เยี่ยมกว่าทั้งหมด เราอยู่ในมนุษย์โลกนี้ นี่มันก็เป็นหญิงเป็นชายอยู่ในมนุษย์โลกนี้ เป็นเด็ก เดิมเราก็เป็นเด็ก แล้วก็แก่แปรมาเป็นลำดับ เป็นเด็ก เป็นเด็กก็ยังเป็นเด็กอยู่ หนักเข้าก็รุ่นหนุ่มรุ่นสาว หนักเข้าก็เป็นหนุ่มเป็นสาว หนักเข้าก็เป็นคนมีเหย้ามีเรือน หนักเข้าก็เป็นคนแก่แปรไป เป็นตาเป็นยายไปแล้ว แปรไปอย่างนี้ นี่เราอยู่ในมนุษย์โลกมันแปรไปอย่างนี้นี่ มันไม่เที่ยง มันไม่ตรง แล้วมันจะดีรึไม่ดีละ อยู่ในมนุษย์โลกนี่เยี่ยมรึไม่เยี่ยมล่ะ เยี่ยมอะไร เยี่ยมป่าช้านะสิ ประเดี๋ยวก็เผา ประเดี๋ยวก็เผากัน ประเดี๋ยวก็ฝังกัน เยี่ยมอะไรล่ะ มันไม่เยี่ยม เมื่อไม่เยี่ยม เอ้า คราวนี้ไม่อยู่แล้วในมนุษย์โลก ไม่เยี่ยม เลยขึ้นไปซะอีก เลยไปไหน จาตุมหาราช ไปเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราช ไม่ช้าเท่าไร เทวดาชั้นจาตุมหาราชไปอีกแล้ว แบบเดียวกับมนุษย์อีกแล้ว ดับไปอีกแล้ว เอ้า ไม่เอาละ ไม่เยี่ยม จาตุมหาราช ตาวติงสา ยามา ดุสิต นิมมานรดี ปรนิมมิตวสวัตตี แบบเดียวกันหมด ไม่เอา พวกเหล่านี้ไม่เอาล่ะ ยุ่งนักพวกชั้นกามภพนี่ ไปเสียรูปภพเถอะ ไปเป็นรูปพรหม พรหมปริสัชชา พรหมปุโรหิตา มหาพรหมา ปริตตาภา เป็นชั้น ๆ ขึ้นไป อัปปมาณาภา อาภัสสรา ปริตตสุภา อัปปามาณสุภา สุภกิณหา เวหัปผลา อสัญญีสัตตา อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี อกนิฏฐา ๑๖ ชั้นทีเดียว ไปเป็นพรหมเสีย ๑๖ ชั้น ชั้นใดชั้นหนึ่ง ก็แปรแบบเดียวกัน พอสิ้นอำนาจรูปฌานแล้วก็ต้องไปเกิดมาเกิดอีก ไม่เที่ยง ไม่แน่ แปรผันทั้งนั้น ไปเกิดเป็นอรูปพรหมเถอะ อากาสานัญจาฯ วิญญาณัญจาฯ อากิญจัญญาฯ เนวสัญญานาสัญญายตนะ พอถึงเนวสัญญานาสัญญา ก็บอกว่า ๘๔,๐๐๐ มหากัป แน่ะ ไปนอนสนุก สุขสบาย ๘๔,๐๐๐ มหากัป ถึงสุขนานขนาดนั้นก็ช่างเถิด ถึงครบ ๘๔,๐๐๐ มหากัป อรูปพรหมไปอีกแล้ว ต้องเร่ร่อนไปอีกแล้ว ไม่เลิศไม่ประเสริฐพวกเหล่านี้ แปรผันอยู่อย่างนี้ ไม่เยี่ยม

          เอ้า คราวนี้ไปนิพพานเถอะนะ นิพพานอยู่ที่ไหนล่ะ รู้จักแต่ว่าภพ ๓ ที่เราอยู่นี่ เราอยู่นี่ภพ ๓ นี่ นี่ชั้นมนุษย์ สูงขึ้นไปจากมนุษย์นี่ ๔๒,๐๐๐ โยชน์ ถึงชั้นจาตุมหาราช สูงขึ้นไปอีก ๔๒,๐๐๐ โยชน์ ถึงชั้นดาวดึงส์ อีก ๔๒,๐๐๐ โยชน์ ถึงชั้นยามา สูงขึ้นไป ตรงขึ้นไป อีก ๔๒,๐๐๐ โยชน์ ถึงชั้นดุสิต อีก ๔๒,๐๐๐ โยชน์ถึงชั้นนิมมานรดี อีก ๔๒,๐๐๐ โยชน์ ถึงชั้นปรนิมมิตวสวัตตี

          ขึ้นไปชั้นพรหม ๕,๕๐๘,๓๐๐ โยชน์โน่น พรหมปริสัชชา พรหมปุโรหิตา เท่า ๆ กันขึ้นไป จนกระทั่ง อกนิฏฐา เท่า ๆ กันขึ้นไป สูงขึ้นไปขนาดนั้น

          หรือว่าต่ำลงไปกว่านั้น ในมนุษย์โลกนี้ ต่ำกว่ามนุษย์โลกลงไปก็ นรกสัญชีพ กาฬสูต สังฆาตะ โรรุวะ มหาโรรุวะ ตาปะ มหาตาปะ อเวจีขอบภพข้างล่าง เนวสัญญานาสัญญายตนะขอบภพข้างบน สูงเท่าไรกว้างเท่าไรก็ระยะเท่ากัน นี่เขาเรียกว่าภพ ๓

       

             ถ้ารู้จักภพ ๓ เท่านี้แล้วละก็ เราก็จะไปนิพพานกันละทีนี้ ไปนิพพานต้องสูงกว่านี้ นิพพานก็เท่า ๆ กับภพ ๓ นี่แหละ ไม่โตกว่าภพ ๓ เท่า ๆ กับภพ ๓ นี่ จะไปนิพพานล่ะ ต้องเอาเชือกสักเส้นหนึ่ง ผูกเข้ากับขอบภพข้างบนโน่น ชั้นเนวสัญญานาสัญญายตนะนั่นนะ แล้วก็ปล่อยลงมาถึงอเวจีโน่น ขอบภพข้างล่าง แล้วก็เกี่ยวเอาไว้ ขอบภพข้างล่างน่ะผูกไว้ ทบเข้ามาอีกเที่ยวหนึ่งถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะขอบภพข้างบน แล้วปล่อยลงมาอีกเที่ยวหนึ่งถึงขอบภพข้างล่างอีก ถึงอเวจีอีก จะไปนิพพานล่ะนะ จับปลายเชือกนั่นเข้า ยืดขึ้นไป ยืดขึ้นไป จนกระทั่งสุดเชือก ๓ เท่าของภพ ๓ นั่นแหละถึงขอบล่างของนิพพานพอดีเชียว

           ที่เรียกว่านิพพานน่ะมี ๒ อย่างนะ อายตนะนิพพานอย่างหนึ่ง แล้วก็พระนิพพานอย่างหนึ่ง ให้รู้จักอย่างนี้ ถ้าไม่รู้จัก เลอะเทอะละ ก็เอาล่ะเถียงกันป่นปี้ละ อายตนะนิพพานน่ะที่อยู่ของพระพุทธเจ้าท่าน อายตนะเขาแปลว่าดึงดูด หรือแปลว่าบ่อเกิด อายตนะแปลว่าดึงดูดหรือบ่อเกิด บ่อเกิดของตาดึงดูดรูป บ่อเกิดของหูดึงดูดเสียง บ่อเกิดของจมูกดึงดูดกลิ่น บ่อเกิดของลิ้นดึงดูดรส บ่อเกิดของกายดึงดูดสัมผัส บ่อเกิดของใจดึงดูดธรรมารมณ์ มันดึงดูดอย่างนี้ อายตนะภพ ๓ นี่มันดึงดูดเหมือนกัน กามภพดึงดูดพวกติดในกาม รูปภพดึงดูดพวกติดรูป ติดรูปแล้วต้องไปอยู่ชั้นนั้น อรูปภพดึงดูดพวกติดอรูป ไปติดไปอยู่ชั้นนั้น ส่วนอายตนะนิพพาน อายตนะนิพพานน่ะเป็นอายตนะอยู่อันหนึ่งสำหรับดึงดูดพระนิพพาน ถ้าว่าใครทำ ใครปฏิบัติหมดกิเลสเข้า เป็นมนุษย์ไปนิพพานไม่ได้ มีกิเลส เป็นกายทิพย์ไปไม่ได้ มีกิเลส เป็นกายทิพย์ละเอียด เป็นกายรูปพรหม รูปพรหมละเอียด เป็นกายอรูปพรหม อรูปพรหมละเอียด ไปไม่ได้ นี่ติดอยู่ในกาม รูปพรหมทั้ง ๑๖ ก็ไปไม่ได้ อรูปพรหมทั้ง ๔ ก็ไปไม่ได้ ยังติดอยู่ในอรูปฌาน ต้องหลุดหมด พอหลุดหมดแล้วก็ไปนิพพาน ถ้าไปนิพพานมีธรรมกาย มีธรรมกายหน้าตักกว้าง ๒๐ วา สูง ๒๐ วา เกตุดอกบัวตูม ใสเป็นกระจก ใสยิ่งกว่ากระจกคันฉ่องส่องเงาหน้า แตกกายทำลายขันธ์ ปล่อยไอ้กาย ๑๖ เหล่านี้หมด กายธรรมของพระอรหัต กายธรรมของพระอรหัตละเอียด ไปนิพพาน

           ไปนิพพาน วิธีจะไปไปยังไง เออ มันจะยากง่ายอะไร มนุษย์นี่ยังยากกว่า ไปน่ะ ไปนิพพานน่ะ นึกอยู่กับใจก็แล้วกัน ใจก็คิดเอาสิ ไปนิพพานแล้วใจก็นึก พอนึกว่าไปนิพพานก็ถึงแล้ว ถึงนิพพานแล้ว ไปง่ายอย่างนี้นี่นะ นั่นแหละนิพพานสูงแค่นั้น สูงเท่านั้นละก็เท่ากับภพ ๓ เท่ากัน นั่นเรียกอายตนะนิพพาน สำหรับดึงดูดพระนิพพาน กายธรรมหน้าตัก ๒๐ วา สูง ๒๐ วา เกตุดอกบัวตูมใส ไปนิพพาน ไปนิพพานทีเดียว

         พวกเรานี่ทั้งหมดต้องไปนิพพานเหมือนกันหมด แต่ว่าต่างกันช้ากับเร็วเท่านั้น ไม่เหลือเลยสักคนเดียว ที่แก่ แก่แล้วก็ไปนิพพานหมด ปฏิบัติถูกส่วนนะ ถ้าไม่ถูกส่วนช้านัก ไม่ไปเหมือนกัน แต่ว่าถึงนาน ๆ หนักเข้า ๆ มันก็ไป มันไม่พ้นหรอกต้องไปนิพพานทั้งหมดนั่นแหละ ไม่หลงเหลือทีเดียว ถ้าจะพูดเรื่องไปนิพพานทั้งหมดน่ะ ดู ๆ มันจะเหลือวิสัย ไอ้คนเกเรเกเสท่ามันจะไปไม่ได้ ชาติหนึ่งมันเกเรเกเส ชาติหนึ่งมันลามก ไอ้ชาติต่อ ๆ ไปมันจะดีขึ้นมั่งสิ มันก็คงมีบุญมั่งสิ ชาติใดชาติหนึ่งถ้ามีบุญเข้ามันก็ไปได้

          อย่างพวกเรานี่แหละเป็นกษัตริย์มานับชาติไม่ถ้วนแล้วก็มี คนหนึ่ง ๆ เป็นบ่าวเป็นทาสเขานับชาติไม่ถ้วนมาแล้วก็มี คนหนึ่ง ๆ เกเรมานับหนไม่ถ้วนแล้วก็มีเหมือนกัน ดีนับหนไม่ถ้วนแล้วก็มีเหมือนกัน แต่ว่าลงท้ายมันก็ปนเปกันไปอย่างนี้ ตุรัดตุเหร่ไปอย่างนี้ เพราะอะไรล่ะ เพราะเหตุฉะนี้แหละ ไม่เยี่ยม ภพเหล่านี้ไม่เยี่ยม อยู่ไม่ตลอด พอไปถึงนิพพานแล้ว ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย เป็นอย่างใดก็เป็นอย่างนั้น สวยหนัก งามหนัก สะอาดหนักขึ้นไป คงที่ทีเดียว  ตาทิโน คงที่  ตาทิโน คงที่ทีเดียว เมื่อคงที่เช่นนี้แหละ ท่านถึงได้ว่า  นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา พระพุทธเจ้าทั้งหลายกล่าวนิพพานว่าเยี่ยม อายตนะนิพพานก็เยี่ยม พระนิพพานก็เยี่ยม พระนิพพานที่เข้าไปนิพพานก็เยี่ยม เยี่ยมทั้ง ๒ ท่านถึงรับรองว่า  ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา พระพุทธเจ้าทั้งหลายกล่าวว่าเยี่ยม เยี่ยมจริง ๆ ด้วย นี่ข้อที่ ๒ ของ โอวาทปาติโมกข์

          ข้อที่ ๓  น หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตี เป็นนักบวชไม่ฆ่าสัตว์เด็ดขาดเชียว ฆ่าสัตว์เป็นนักบวชไม่ได้ ถ้าพระเป็นอาบัติ ถ้าเณรศีลขาด ฆ่าสัตว์เข้าเป็นเณรไม่ได้  หากว่าเป็นเณรไปฆ่าสัตว์เข้าเป็นไง ฆ่าเรือด ฆ่ายุง ฆ่าไรเข้า มันก็มีแต่เปลือกนอกนะซี่ ตัวเณรหายไปซะแล้ว เหลือแต่คนนั้นคนนี้ไปแล้ว เปลือกนอก ไอ้ตัวไปซะแล้ว ตัวหนีไปแล้ว ตัวหนีไปเหมือนอะไร เหมือนต้นโพธิ์ที่ตายลงไปแล้ว แต่ว่าไอ้ต้นตำลึงมันงามไปถึงต้นโพธิ์นั่นมันก็ขึ้นพันต้นโพธิ์ตลอดไป แต่ใบตำลึงทั้งต้น ใบตำลึงทั้งต้น เถาตำลึงทั้งต้น ไอ้ต้นโพธิ์ตายซะแล้ว ตัวตกแล้ว เถาตำลึงมันพันอยู่ เราไปดู ๆ อ้อโน่นต้นโพธิ์ อ้าวที่ไหนได้ ไปดูใกล้ ๆ เข้า ไอ้นี่มันเถาตำลึงทั้งนั้นนี่ ต้นโพธิ์ตายเสียแล้วหรือนี่ นั่นแหละสามเณร ไปเพลี่ยงพล้ำเข้า ไปบี้เรือด บี้ยุง บี้ไร บี้เล็นเข้า เอาแล้ว ศีลไปหมดแล้ว เณรหายไปเสียแล้ว เหลือเจ้านั่นเจ้านี่ไปแล้วล่ะ หายหมด นี่มันเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นเป็นนักบวชไม่ได้ ต้องเลิกจากการฆ่าสัตว์เด็ดขาดเชียว ถ้าเป็นคนรักษาศีล ๘ ล่ะ ถ้าไปฆ่าเรือด ฆ่ายุ่ง ฆ่าไร ฆ่าสัตว์เข้า อีกนั่นแหละ ไม่มีแล้ว นุ่งขาวก็ขาว เล่อ ๆ อย่างงั้นเอง ไม่มีศีล ๘ แล้ว เท่ากับคนไม่นุ่งขาวแล้ว เท่ากับคนไม่โกนหัวแล้ว หากว่าจะมีก็ศีล ๕ หรือเพลี่ยงพล้ำแล้วศีล ๕ ก็ไม่มีเสียอีก นี่ขนาดนี้ คือคนรักษาศีล ๕ ถ้าไปฆ่าสัตว์เข้า หรือลักทรัพย์สมบัติเข้า ล่วงประเวณีเข้า หรือว่าไปพูดปดเข้า เสพสุราเข้า หมดอีก ศีลหมดอีก ข้อใดข้อหนึ่ง เพราะฉะนั้น เป็นนักบวชน่ะ แต่ว่านี่ท่านจำเพาะแต่นักบวชนะ จะบวชเป็นพระ เป็นเณร จะบวชเป็นอุบาสิกานุ่งขาวก็ตามเถิด แต่ว่าถ้าฆ่าเข้า ตัวเป็นให้จำตายแล้วละก็ ศีลไม่มีนะ ศีลหายหมด แต่ว่าศีล ๘ น่ะ จำเป็นอยู่ เป็นทัณฑกรรมก็มี เป็นนาสนังคะก็มี เหมือนสามเณร ศีล ๕ เบื้องต้น เป็นนาสมังคะล่ะ ต้องเข้าแล้วศีลขาดหมด ถ้าว่าไปต้องตอนปลายล่ะ แกหิวเต็มที แกไปเอาข้าวหลามเข้าซักกระบอกสองกระบอก  เต็มทีแกเข้า แกก็บริโภคอาหารในเวลาวิกาล ไอ้นั่นบริโภคอาหารในเวลาวิกาลก็เป็นนาสนังคะ นาสนังคะก็ต้องทำโทษ ไปปฏิบัติวัตรฐาก ไปกวาดพื้นอุโบสถ หรือไปกวาดพื้นพระเจดีย์ หรือไปแก้ไขชำระสะสางที่เสียให้สะอาดในที่บริเวณพระเจดีย์ หรือในที่รูปพระปฏิมากรก็ตามเถอะ หรือในเขตวัดก็ตาม หรือจะไปทำอะไรก็ตามเถอะ แต่ว่าเป็นปฏิบัติในหน้าที่ของพุทธกิจในทางพุทธศาสนา ปฏิบัติรูปพระปฏิมากร หรือปฏิบัติพระเจดีย์วิหารอันหนึ่งอันใด ทำให้สะอาด นั่นแล้วก็ไปทัณฑกรรม  กราบไหว้ซะ ไม่ลุล่วงต่อไป ปฏิญาณตนซะ เท่านั้นศีลจะบริสุทธิ์ได้ เขาเรียกว่าทัณฑกรรม พระน่ะไม่มี พระไปทำเข้าเช่นนั้น พระต้องแสดงอาบัติ ลหุกาบัติต้องแสดงอาบัติ นิสสัคคีย์ ปาจิตตีย์ ปาฏิเทสนียะ ทุกกฏ ทุพภาษิต เหล่านี้ต้องไปแสดงอาบัติ แสดงอาบัติก็กลับบริสุทธิ์ได้

          เพราะฉะนั้นถ้าเป็นนักบวชแล้วยังฆ่าสัตว์อยู่ใช้ไม่ได้ การฆ่าสัตว์น่ะ ไม่ใช่ฆ่าทีเดียวตาย ทำลำบากยากแค้นด้วยกรรมวิธีหรือทีเดียวตายก็ได้ชื่อว่าฆ่าสัตว์เหมือนกัน หรือทำทรมานไปด้วยประการใดประการหนึ่งจนกระทั่งถึงตายก็เรียกว่าฆ่าสัตว์ ถ้าไม่ถึงตายไม่เรียกว่าฆ่าสัตว์ ต้องถึงตาย นี้  น หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตี ไม่ฆ่าสัตว์เด็ดขาดทีเดียว ขึ้นชื่อว่าเป็นนักบวช ถึงจะนับว่าเป็นนักบวชได้

          สมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนฺโต ชื่อว่าเป็นสมณะละก็ ไม่เบียดเบียน  สมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนฺโต ชื่อว่าเป็นสมณะละก็ไม่เบียดเบียนทีเดียว วิธีเบียดเบียนเป็นอย่างไร เบียดเบียนด้วยกายบ้าง เบียดเบียนด้วยวาจาบ้าง เบียดเบียนด้วยใจบ้าง ไอ้เบียดเบียนนี่มันกว้างออกไป

         เบียดเบียนด้วยกายละเบียดเบียนยังไงล่ะ นั่งใกล้ ๆ ก็รุกเจ้าเข้าไปมั่ง นั่งรุกเจ้า ให้เจ้ารำคาญ นอนรุกเจ้ามั่ง ให้เจ้ารำคาญ  อย่างนี้แหละ อย่างนี้ก็เขารำคาญด้วยประการใด ก็ได้ชื่อว่าเบียดเบียนเขาด้วยประการนั้น หรือทำนารุกที่นาเขาบ้าง ทำสวนรุกที่สวนเขาบ้าง ทำไร่รุกไร่บ้าง ปลูกบ้านปลูกเรือนรุกที่รุกทางกันเหล่านี้ เบียดเบียนทั้งนั้นพวกนี้ หรือไม่เช่นนั้น ไม่เช่นนั้น อยู่ใกล้เคียงกัน อยากให้เจ้าไปซะ เอาของโสโครกใส่เข้าไปในบ้านเจ้าบ้าง อะไรบ้าง เหล่านี้เบียดเบียนทั้งนั้น ทำให้เขาเดือดร้อนด้วยกาย จะทำวิธีอะไรก็ทำไปเถอะ ได้ชื่อว่าเบียดเบียนด้วยกาย

          จะพูดสิ่งใดด้วยวาจา ใช้เหล็กแหลมอยู่ข้างใน เขาว่า  มุขสตฺติ เอาเสียงเอาปากนั่น เอาเสียงนั่น   มุขสตฺติ เอาปากนั่นทำหอก แทงเขา แทงก็พูดเสียดแทงเขา พูดเสียดแทงเขา พูดกระทบกระเทียบเขา พูดเปรียบเปรยเขาต่าง ๆ นานา ให้เขาเดือดร้อนใจแหละ ก็ได้ชื่อว่าเบียดเบียนเขา ได้ชื่อว่าเบียดเบียนเขา เบียดเบียนเขาจะเป็นสมณะไม่ได้ ใช้ไม่ได้ ไม่มีเบียดเบียน

          หรือทางใจ คิดเบียดเบียนเขาด้วยประการใดประการหนึ่ง มากมายละคิดเบียดเบียนน่ะ คิดเบียดเบียนมากมายนัก เหลือประมาณทีเดียว ให้เขาเดือดร้อนด้วยประการใดประการหนึ่ง จะคิดอย่างหนึ่งอย่างใดก็คิดไปเถอะ ลงท้ายเบียดเบียนเขาด้วยใจ เบียดเบียนด้วยกาย เบียดเบียนด้วยวาจา เบียดเบียนด้วยใจ เหล่านี้ เป็นสมณะไม่ได้ ไม่ควรเป็นสมณะทีเดียว ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะทีเดียว สมณะเขาแปลว่าผู้สงบ สมณะในทางพุทธศาสนา

        สนฺตินฺทฺริยา สนฺตมานสา สนฺตํ เตสํ ฐิตํ จิตฺตํ มีอินทรีย์สงบระงับแล้ว  สนฺตินฺทฺริยา สนฺตมานสา ใจก็สงบ  สนฺตํ เตสํ ฐิตํ จิตฺตํ ถึงแล้วซึ่งความสงบทั้งกายทั้งใจ นี่แหละเป็นสมณะ ขึ้นชื่อว่าเป็นสมณะ

          พระองค์ทรงรับสั่งกับพระราหุล เปิดอกเชียว เรื่องนี้ เรื่องเบียดเบียนน่ะ ไม่ให้เบียดเบียน ว่าราหุล ถ้าจะทำสิ่งใดด้วยกายละก็เอาปัญญาเข้าสอดส่องตรองเสียก่อนหนา ถ้าว่าร้อนเราละก็อย่าทำ ร้อนเขา อย่าทำ ร้อนทั้งเขาทั้งเราล่ะ อย่าทำ ถ้าไม่ร้อนละก็ทำเถิด ท่านจะคิดสิ่งใด ท่านจะพูดสิ่งใดด้วยวาจา ต้องเอาปัญญาเข้าสอดส่องตรองซะก่อนนะ ถ้าว่าร้อนเรา อย่าพูด ร้อนเขา อย่าพูด ร้อนทั้งเราทั้งเขา อย่าพูด ถ้าว่าไม่ร้อนล่ะก็พูดเถิด ท่านจะคิดสิ่งใดทางใจ ถ้าว่าร้อนเรา อย่าคิด ร้อนเขา อย่าคิด ร้อนทั้งเราทั้งเขา อย่าคิด ถ้าไม่ร้อนเราร้อนเขาล่ะก็คิดเถิด

      อย่างนี้สอนอย่างลูกทีเดียว สอนอย่างเปิดอกทีเดียว นี้พระบรมนายกแม้จะเสร็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว วางหลักฐานไว้เช่นนี้ เราอยากเป็นลูกพระตถาคตเจ้าแล้วละก็ต้องอย่างนี้ เดินแบบอย่างนี้ ทั้งกายทั้งวาจาทั้งใจอย่างนี้ ไม่ให้เบียดเบียนใครผู้ใดผู้หนึ่ง เต็มมาตรทว่าเท่าปลายผมปลายขน ให้บริสุทธิ์ทีเดียวทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งใจ นี่แหละเป็นลูกของพระตถาคตเจ้าทีเดียว ให้แน่นอนอย่างนี้นะ นี่เรียกว่า  สมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนฺโต ๔ ข้อ จบพระคาถาต้น

        คาถาที่ ๒ รองลงไปลำดับลงไปก็อีกนั่นแหละ  สพฺพปาปสฺส อกรณํ ไม่ทำชั่วด้วยกาย ด้วยวาจา ตลอดถึงใจ นี่เป็นพระวินัยปิฎกเชียวน้า  กุสลสฺสูปสมฺปทา ยังกุศลให้ถึงพร้อม ทำความดีให้มีขึ้นด้วยกาย ด้วยวาจา ตลอดถึงใจ นี่เป็นพระสุตตันตปิฎกทีเดียว  สจิตฺตปริโยทปนํ ทำใจของตนให้ใส นี่ปรมัตถปิฎกทีเดียว

          วินัยปิฎก ก็คือ ศีล สุตตันตปิฎก ก็คือ สมาธิ ปรมัตถปิฎกก็คือ ปัญญา จะกว้างขวางออกไปเท่าไรไม่ว่า ที่เรียกว่า วินัยปิฎกน่ะต้องอยู่ในศีล ๕ คัมภีร์ อาทิกัมม์ ปาจิตตีย์  จุลลวัคค์ มหาวัคค์ ปฐมสามณ ๕ คัมภีร์ อยู่ในศีลอันเดียวอันนั้นแหละ บริสุทธิ์กาย บริสุทธิ์วาจา บริสุทธิ์ใจ ไม่มีร่องเสียเลย อยู่ใน ๕ คัมภีร์นี่หมด

        กุสลสฺสูปสมฺปทา ทำกุศลให้ถึงพร้อม ทำกุศลให้ถึงพร้อม หรือทำความดีให้มีพร้อมขึ้น นี่มากน้อยเท่าไรก็ช่าง อยู่ในพระสุตตันตปิฎก สุตตันตปิฎก มี ๕ คัมภีร์ สุตตันตปิฎก มี ๕ คัมภีร์ ทีฆนิกาย มัชฌิมนิกาย สังยุตตนิกาย อังคุตตรนิกาย ขุททกนิกาย ๕ คัมภีร์ ก็อยู่ในความบริสุทธิ์ใจ อยู่ในใจหยุด ใจนิ่ง ใจเป็นสมาธินั่นแหละ ๕ คัมภีร์ทีเดียว

          ส่วนปรมัตถปิฎก  สจิตฺตปริโยทปนํ ทำใจของตนให้ผ่องใส เมื่อใจผ่องใสแล้ว ไม่มีราคีแล้ว ไม่ขุ่นมัว ให้อยู่กับใจใสเสมอไป นั้นปรมัตถปิฎก ยกเป็น ๗ คัมภีร์ สังคณี วิภังค์ ธาตุกถา ปุคคลบัญญัติ กถาวัตถุ ยมก มหาปัฏฐาน ๗ คัมภีร์ มหาปัฏฐาน เป็นที่สุด ๗ คัมภีร์

         ในสุตตันตปิฎก วินัยปิฎก ปรมัตถปิฎกนี้ ยกเป็นศีล สมาธิ ปัญญา ยกเป็นตัวพระพุทธศาสนาที่ปรากฏอยู่ในบัดนี้ ถ้าจัดเป็นพระธรรมขันธ์ถึง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ถ้าจัดเป็นปิฎกไปถึง ๓ วินัยปิฎก สุตตันตปิฎก ปรมัตถปิฎก ว่าจะสรุปยกเป็นตัวแท้แน่นอนนี่แล้วอยู่กับใจของตัวนี่เอง อยู่ในดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์นั่นแหละ คือศีล สมาธิ ปัญญานั่นเอง

          วัดปากน้ำสอนให้เดินในศีล สมาธิ ปัญญา นี่เสมอ ไม่ได้ไปทางอื่นเลย เมื่อเดินไปในดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์แล้ว ก็เข้าถึงกายมนุษย์ละเอียด เข้าไปในทางศีล สมาธิ ปัญญา เมื่อจะเข้าไปถึงกายทิพย์ ก็ต้องเข้าไปในกายมนุษย์ละเอียด แล้วเข้าไปถึงกายทิพย์ต้องเข้าไปในดวงศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะไป จะเข้าไปในกายทิพย์ละเอียด ก็ต้องเดินไปในดวงศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสนะของกายทิพย์หยาบเข้าถึงกายทิพย์ละเอียด เมื่อจะเข้าถึงกายรูปพรหมก็แบบเดียวกัน เดินไปอย่างนี้ ไม่ได้เคลื่อนคลาดละ นี่ได้ชื่อว่าในบาท ในคาถาที่ ๒ รับรองว่า พระองค์ทรงรับสั่ง ศีล สมาธิ ปัญญา ย่อย่นสกลพุทธศาสนา ว่า

สพฺพปาปสฺส อกรณํ     กุสลสฺสูปสมฺปทา
สจิตฺตปริโยทปนํ          เอตํ พุทฺธาน สาสนํ

          ดังนี้ นี่เป็นคาถาที่ ๒ คาถาที่ ๓ เห็นจะหมดเนื้อความเสียแล้ว เวลาไม่พอ ต้องย่นย่อพอสมควรแก่เวลา ด้วยอำนาจสัจวาจาที่ได้อ้างธรรมเทศนาในโอวาทปาติโมกข์คาถา  ตามวาระพระบาลีคลี่ความเป็นสยามภาษา ตามมตยาธิบาย พอสมควรแด่เวลา วรญฺญํ สรณํ นตฺถิ สิ่งอื่นไม่ใช่ที่พึ่งที่ประเสริฐของเราท่านทั้งหลาย สรณํ เม รตนตฺตยํ พระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งอันประเสริฐของเราท่านทั้งหลาย เอเตน สจฺจวชฺเชน ด้วยอำนาจความสัตย์ที่ได้อ้างธรรมปฏิบัติตั้งแต่ต้นจนอวสานนี้ ขอความสุขสวัสดีจงเกิดมีแด่ท่านทั้งหลาย บรรดามาสโมสรในสถานที่นี้ทุกถ้วนหน้า อาตมภาพชี้แจงแสดงมาพอสมควรแก่เวลา สมมติว่ายุติธรรมิกถาโดยอรรถนิยมความเพียงเท่านี้

             เอวํ ก็มีด้วยประการฉะนี้ ฯ

บทความที่เกี่ยวข้อง