ทานานุโมทนากถา (ฉากหลัง)
๓ เมษายน พุทธศักราช ๒๔๙๙
อิทานิ ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ปรินิพฺพานโต ปฏฺฐาย เอกูนสตจตุสตาธิกานิ เทฺว สํวจฺฉรสหสฺสานิ อติกฺกนฺตานิ ปจฺจุปฺปนฺนกาลวเสน จิตฺตมาสสฺส ตติยํ ทินํ วารวเสน ปน ภุมฺมวาโร โหติ เอวํ ตสฺส ภควโต ปรินิพฺพานา สาสนายุกาลคณนา สลฺลกฺเขตพฺพา สกฺกจฺจํ ธมฺโม โสตพฺโพติ ฯ
ศุภมัสดุ พระพุทธศาสนายุกาล จำเดิมแต่ปรินิพพาน แห่งพระองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น บัดนี้ล่วงแล้วได้ ๒๔๙๙ พรรษา ปัจจุบันสมัย เมษายนมาส สุรทินที่ ๓ อังคารวาร ของพุทธปรินิพพาน อันกำหนดนับศาสนายุกาล จำเดิมแต่ปรินิพพานแห่งพระองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น มีนัยอันจะพึงกำหนดนับด้วยประการฉะนี้ เบื้องหน้าแต่นี้ จงตั้งสมนาหารจิต ฟังธรรมภาษิต ดังจะแสดงต่อไปนี้โดยเคารพ เทอญ
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ฯ (๓ หน)
อนฺนํ ปานํ วตฺถํ ยานํ มาลา คนฺธํ วิเลปนํ
เสยฺยาวสถํ ปทีเปยฺยํ ทานวตฺถู อิเม ทส ฯ*
อนฺนโท พลโท โหติ วตฺถโท โหติ วณฺณโท
ยานโท สุขโท โหติ ทีปโท โหติ จกฺขุโท ฯ**
มนาปทายี ลภเต มนาปํ
อคฺคสฺส ทาตา ลภเต ปุนคฺคํ
วรสฺส ทาตา วรลาภิ โหติ
เสฏฺฐนฺทโท เสฏฺฐมุเปติ ฐานํ
อคฺคทายี วรทายี เสฏฺฐทายี จ โย นโร
ทีฆายุ ยสวา โหติ ยตฺถ ยตฺถูปปชฺชตีติ ฯ***
เอเตน สจฺจวชฺเชน สุวตฺถิ โหตุ สพฺพทา
อาโรคฺยสุขญฺเจว กุสลญฺจ อนามยํ
สิทฺธมตฺถุ สิทฺธมตฺถุ สิทฺธมตฺถุ อิทํ ผลํ
เอตสฺมิํ รตนตฺตยสฺมิํ สมฺปสาทนเจตโสติ ฯ
*มงฺคลตฺถ.(บาลี) ๒/๕/๓
**สํ.ส.(บาลี) ๑๕/๑๓๘/๔๔
***องฺ.ปญฺจก.(บาลี) ๒๒/๔๔/๕๖
ณ บัดนี้ อาตมภาพจักได้แสดงธรรมิกถา เป็นจารีตประเพณีสืบมาแต่ไหนแต่ไร พระพุทธเจ้าจะอุบัติตรัสขึ้นในโลก ก็มีทานวัตถุการให้ซึ่งกันและกันอยู่ พระพุทธเจ้าจะไม่อุบัติตรัสขึ้นในโลก ทานวัตถุก็มีให้กันอยู่ แต่ว่าทานบัญญัติไว้เป็นทานวัตถุน่ะ ๑๐ ประการ ทานการให้จำเป็นทีเดียว ต้องสงเคราะห์อนุเคราะห์ซึ่งกันและกัน โลกซึ่งเป็นอยู่ได้นี้ เริ่มต้นทีเดียว ตระกูลต้องให้ทานในกันและกัน ถ้าไม่ให้ทานในกันและกันล่ะตระกูลอยู่ไม่ได้ แม้ถึงเป็นกษัตริย์ปกครองประเทศ ต้องให้ทานในกันและกัน ไม่ให้ทานในกันและกันละก็ปกครองประเทศอยู่ไม่ได้ ยิ่งให้ต้องให้หนัก เป็นพระมหากษัตริย์ต้องให้หนัก ให้ข้าราชบริพารน้อยใหญ่ ต้องให้หนัก เพราะการปกครองใหญ่กว้าง ต้องให้มากออกไป ผู้ปกครองตระกูลเล่า ตระกูลใหญ่ก็ต้องให้หนักเข้าไป ตระกูลย่อยก็ต้องให้น้อยไปตามส่วน ถ้าให้ได้มากเท่าไรก็ตระกูลนั้นก็ยิ่งใหญ่หนักขึ้นไป
การให้เป็นข้อสำคัญนักไม่ใช่เป็นของพอดีพอร้าย ให้พินิจพิจารณาดูเถิดเราเกิดมาเป็นหญิงเป็นชาย เมื่อเกิดมาจากตระกูลพ่อแม่ เมื่อพ่อแม่ไม่ให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย ลูกหญิงลูกชายนั้นจะนับถือพ่อแม่ถึงแค่ไหน ถือเพลามากทีเดียว ถือเพลามากทีเดียว หรือไม่เช่นนั้น ถ้าว่ามีสมบัติมาก ๆ ก็จะหาเรื่องใส่เอา พ่อแม่ก็เห็นจะนอนตะแคงตายล่ะ ก็เห็นจะลืมตาตายล่ะ ไม่หลับตาตายเสียแล้ว สมบัติมากมายอย่างนี้ ญาติต่าง ๆ นานา ช่วยกันแคะไค้หาอุบายเสียดสีต่าง ๆ เพราะไม่ได้สมบัติ เขาไม่ให้ นี่ลูกหญิงลูกชายตัดพ่อแม่ถึงขนาดนี้ คนอื่นล่ะ คนอื่นเมื่อไม่สงเคราะห์อนุเคราะห์ก็ไม่อยู่ด้วยทีเดียว หลีกเลี่ยงทีเดียว นี่การให้นี่จำเป็นนะ ไม่ใช่เป็นของไม่จำเป็น จำเป็นทีเดียว ท่านถึงวางตำรับตำราไว้
พระพุทธเจ้าท่านอุบัติตรัสขึ้นในโลก เมื่อก่อนท่านอยู่องค์เดียว ท่านก็แสวงหาอาหารบิณฑบาตจำเพาะท่าน ได้บ้างไม่ได้บ้างก็ตามกาล ท่านพอจะอดทนได้ เมื่อมีผู้เลื่อมใสติดตามท่านไปอีก ตั้งแต่ท่านออกแล้ว ปัญจวัคคีย์ก็ติดท่านไป ทั้ง ๕ รูปด้วยกัน แต่ว่าท่านเหล่านี้เลี้ยงตัวกันได้ทั้งนั้น เลี้ยงตัวได้ทั้งนั้น ติดท่านไป ดูแลท่าน นั่นตอนนั้นท่านยังไม่สำเร็จ แล้วท่านปัญจวัคคีย์มาแยกท่านเสีย ท่านทำทุกขการกกรรม*(*ออกเสียงว่า ทุก-ขะ-กา-ระ-กะ-กำ แปลว่า การกระทำอันบุคคลทำได้ยาก) จนสำเร็จใต้ควงไม้พระศรีมหาโพธิ์โดยลำพังพระองค์เดียว มารมาผจญ มารก็สงบไป ได้บรรลุโพธิญาณใต้ควงไม้พระศรีมหาโพธิ์นั้น และต่อจากนั้น ท่านได้ออกโปรดสรรพสัตว์ทั้งหลาย ตั้งต้นแต่พระปัญจวัคคีย์ แสวงหาไปพบพระปัญจวัคคีย์ ให้พระปัญจวัคคีย์ได้บรรลุมรรคผล พระอัญญาโกณฑัญญะ ภัททิยะ วัปปะ มหานามะ อัสสชิ ทั้ง ๕ นั้น ได้มรรคผลเป็นพระอรหันต์เหมือนท่านขึ้นแล้ว เพราะท่านเหล่านั้นชำนาญในเรื่องอดมาแล้ว ท่านไม่ค่อยห่วงใยมากนัก ส่งให้ไปประกาศศาสนา และก็โปรดพระยสะ ๕๕ ได้สำเร็จมรรคผลแล้วส่งให้ประกาศศาสนา ไม่ซ้ำรอยกัน เพื่อจะให้พระพุทธศาสนากว้างขวางออกไป และท่านก็เอาพระทัยใส่ผู้ที่เข้ามาบวชอยู่กับด้วยท่าน ภัททิยราชกุมาร ๓๐ นั่นก็เป็นราชกุมารคงแก่เรียน ขั้นมหาวิทยาลัยแล้วทั้งนั้น เลี้ยงตัวกันได้ ไม่สู้ห่วงใยนัก ไปโปรดพระชฎิล ๑,๐๐๓ รูป ให้ได้สำเร็จมรรคผลแล้ว ท่านก็ออกเที่ยวออกไปเรื่อยในเมืองราชคฤห์ ๑,๐๐๓ รูปนั้นติดไป ไปโปรดชาวเมืองราชคฤห์อีก ๑๒ นหุต ได้สำเร็จมรรคผลอยู่ ๑๑ นหุต เหลืออีกนหุตหนึ่งตั้งอยู่ในพระไตรสรณคมน์ คราวนี้ท่านจะต้องอุปการะมากมายขึ้น ต้องเป็นประมุขนำบิณฑบาตแต่พลเมืองทั้งหลายเหล่านั้น เพื่อจะให้ภิกษุบริษัทบวชเข้ามาในตอนหลัง ๆ จะได้เลี้ยงตัวได้เหมือนท่าน ท่านก็เอาพระทัยใส่อย่างนี้ ไม่ได้ทอดธุระเลย ปุพฺพณฺเห ปิณฺฑปาตํ แสวงหาอาหารบิณฑบาตเลี้ยง ให้เลี้ยงตัวอยู่ได้ ศาสนาจะได้ดำรงอยู่คู่กันไป สั่งสอนกันไปทีเดียว แต่ว่าถึงสั่งสอนไปจากท่านหนึ่งท่านใด ก็ต้องเอาพระทัยใส่ในเรื่องทานการให้ ถ้าไม่ให้ทานก็ไม่สำเร็จประโยชน์อีกเหมือนกัน นี่เป็นเงื่อนไขสำคัญ เมื่อรู้จักเงื่อนไขสำคัญอันนี้ล่ะก็ คนมีปัญญาจะเป็นคนชั้นสูงชั้นใหญ่เพียงเท่าไรก็ได้ ถ้ารู้จักทานการให้ ถ้ารู้จักทานการให้จะเป็นคนสูงคนใหญ่เพียงเท่าไรก็เป็นได้ อุตส่าห์ให้ อุตส่าห์บำรุงไป อุตส่าห์หล่อเลี้ยงไป ถ้าว่าคนมันมีสติปัญญานั่นหล่อเลี้ยงไม่เท่าไรนัก มันก็วิ่งปรูดไป ถ้าคนโง่ละก็ต้องหนักหน่อยนึง นี่แหละการให้นี่เรียกว่าเป็นประเพณีของคนมีปัญญา ไม่ใช่เป็นประเพณีของคนโง่ คนมีปัญญาอยู่ในสถานที่ใด หญิงก็ดี ชายก็ดี เป็นใหญ่ในที่นั้น เพราะทานการให้ สงเคราะห์อนุเคราะห์เขาอยู่เสมอไป ใหญ่ในที่นั้นไม่ต้องสงสัย คนมีปัญญา ถ้าคนโง่ไม่มีปัญญาอยู่ในที่ไหนจมมืดอยู่ในที่นั้น ไม่ให้ใคร มีอะไรให้ไม่ได้ กลัวจะหมด กลัวจะสิ้น กลัวจะเปลืองไป ให้ล่ะเป็นหมดเป็นสิ้นเป็นเปลืองไป ให้ไม่ได้ ให้สักเล็กสักน้อย กลัวจะหมดจะสิ้นจะเปลืองไปเสียแล้ว หนักเข้าต้องอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวเจ็บไข้ได้พบไม่มีใครไปเยี่ยมไปเยียนเลย เพราะอะไร ไม่มีอามิสเครื่องล่อเลยนี่ ไม่มีอาหารรางวัลอะไรสักนิดนึง เขาก็ไม่เยี่ยม นี่คนโง่เป็นอย่างนี้ ฆ่าตัวเองทั้งเป็น คนฉลาดเลี้ยงตัวเองสร้างตัวเองทั้งเป็น ส่งเสริมตัวเองทั้งเป็น นี่คนฉลาด เพราะฉะนั้น นักปราชญ์ถึงได้วางตำรับตำราไว้
อนฺนํ ปานํ วตฺถํ ยานํ มาลา คนฺธํ วิเลปนํ
เสยฺยาวสถํ ปทีเปยฺยํ ทานวตฺถู อิเม ทส
ทานวตฺถู อันว่าทานวัตถุทั้งหลาย อิเม เหล่านี้ ทส ๑๐ ทานวัตถุทั้งหลายเหล่านี้ ๑๐ ประการ อนฺนํ ให้ข้าว ปานํ ให้น้ำ วตฺถํ ให้ผ้าสำหรับนุ่งห่ม สำหรับใช้สอย ยานํ ให้เครื่องอุปการะแก่เครื่องไปมา ให้ยาน ให้ค่าโดยสาร ให้ยาน ให้ค่าโดยสาร ตกรถมาถ้าพอมีก็ให้ ยานํ มาลา ให้ระเบียบดอกไม้ คนฺธํ ให้ของหอม วิเลปนํ ให้เครื่องลูบไล้ เสยฺยาวสถํ ให้ที่นอนและที่พักอาศัย ที่อยู่เป็นสุขเบิกบานสำราญใจ เสยฺยาวสถํ ปทีเปยฺยํ ตามประทีปไปในที่มืด ตามประทีปไปในที่มืดให้เขาเห็นทางสว่าง ๑๐ อย่างนี้เรียกว่า ทานวัตถุ
คิดดูซิว่า เราให้อาหารเขารับประทาน ให้เท่าไรคนก็ตาม ให้มากคน เขาก็ได้ความสุขมาก ให้น้อยคน เขาก็ได้รับสุขน้อย แล้วแต่จะให้ ให้ข้าว ให้ขึ้นที่ไหนผู้คนก็มากในที่นั้น ไม่ใช่น้อย เรียกว่า อนฺนํ
ปานํ ให้น้ำ เราไม่มีน้ำใช้ เขาเอาน้ำมาให้ก็ดี หรือเวลาเราต้องการเขาเอาน้ำมาให้ก็ดี หรือจะให้น้ำมาเป็นแทงค์ ๆ เป็นถัง ๆ เป็นจัก ๆ เข้าไว้ เขาจะมีอุปการคุณแก่เราเพียงแค่ไหน เราต้องเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เขาอยู่เหมือนกัน เขาให้น้ำ
วตฺถํ ให้ผ้าสำหรับนุ่งห่มใช้สอยต่าง ๆ นี่เราจะขอบพระเดชพระคุณท่านเท่าไร ให้ผ้า
ยานํ เราจะไปในทางเหนือทางใต้ เวลานี้เรารู้สึกทีเดียว ให้ค่ารถ ค่าเรือ เป็นข้อสำคัญนัก ต่อเท้าต่อมือให้ทีเดียว ต่อหนทางให้ทีเดียว ให้เครื่องอุปการะต่อการไปมา รถ รา ฬ่อ ม้า หรือว่ายวดยานพาหนะใด ๆ เหล่านี้เรียกว่า ยานํ ทั้งนั้น ถ้าเขาให้เราจะขอบพระเดชพระคุณเพียงแค่ไหน
มาลา ให้ระเบียบดอกไม้ ให้ระเบียบดอกไม้ดูก็ไม่สู้กระไรนัก ให้ระเบียบดอกไม้หรือว่าให้ดอกไม้สำหรับหอมหรือไม่หอม มีกลิ่น ไม่มีกลิ่นนั่นแหละ ให้ดอกไม้ ก็คิดดูสิเวลาเราต้องการดอกไม้ เขาให้เรา เราจะขอบพระเดชพระคุณเขาเพียงแค่ไหน เวลาเราต้องการ ถ้าไม่ต้องการดูก็อย่างงั้นแหละ เวลาต้องการก็ดี นั่น มาลา
คนธํ ให้ของหอมนี่แหละเป็นที่ชอบใจละ เข้ามาใกล้ล่ะก็ชื่นอกชื่นใจ สบายอกสบายใจ ขอบพระเดชพระคุณท่านมากทีเดียว เรียกว่า คนฺธํ
วิเลปนํ เครื่องลูบไล้ เครื่องลูบไล้น่ะสำหรับร้อน เมื่อลูบเข้าแล้วเย็นกายสบายใจหมดทั้งร่างกาย เขาเรียกว่าเครื่องลูบไล้ หอมน้อย ๆ ไม่ใช่มากนัก เขาเรียกว่าเครื่องลูบไล้ให้เกิดชื่นอกชื่นใจ ให้เกิดเย็นกายเย็นจิต เย็นกายเย็นใจ เขาเรียกว่าเครื่องลูบไล้ เครื่องลูบไล้อย่างจีนเขาเล่นละครจีน เล่นงิ้วน่ะ เขาเอาสีไล้หน้า หรือเครื่องไล้เขามี แต่งให้เป็นรูปขึงขังขึ้นหรือให้เป็นรูปแปลกประหลาดลวงตาขึ้น นั่นก็เป็นเครื่องลูบไล้เหมือนกัน แต่ว่าหนาขึ้นไม่ใช่บาง แต่ว่าสิ่งเหล่านี้เมื่อเขาต้องการแล้วละก็ใครเอาไปให้ เขาก็ขอบพระเดชพระคุณมากมายทีเดียว
เสยฺยาวสถํ เสยฺยา ที่นอน วสถํ ที่นอนที่อยู่พักพาอาศัย ตลอดทั้งชาติก็ดี ชั่วครั้งชั่วคราวก็ดี หรืออาสนะสำหรับนั่งพักพาอาศัยก็ดี เหล่านี้ใครให้ก็เป็นอันขอบใจมากทีเดียว เสยฺยาวสถํ นี้
ปทีเปยฺยํ ที่มืด ตามประทีปไปให้เราไปเห็นเช่นนั้น แต่ว่าเขาให้เรา เราก็ต้องรักใคร่เขาทีเดียว เรียกว่านับถือเขาทีเดียว เพราะว่าเขานับถือเรา อย่างนี้โลก อย่างนี้ต้องจำเป็นตำรับตำราไว้ อยู่ในโลกต้องประพฤติอย่างนี้ ไม่ว่าหญิงก็ดี ชายก็ดี ประพฤติอย่างนี้แล้ว หญิงคนนั้น ชายคนนั้นแหละ จะได้ชื่อว่าเป็นที่พี่งของตน จะได้ชื่อว่าเป็นแม่ของคน หญิง หากว่าชายล่ะ เป็นพ่อของคน คนให้นั่นแหละเป็นแม่เป็นพ่อทีเดียว เหมือนกับพ่อแม่ให้ลูก คนอื่นให้ไม่ได้ ให้ได้แต่ลูก ให้ได้แต่ลูก ลูกมันก็เรียกพ่อเรียกแม่ คนอื่นมันก็ไม่เรียกพ่อเรียกแม่ ถ้าให้ได้เหมือนลูกทั้งนั้นหมดทุก ๆ คน คนอื่นมันก็เรียกเป็นพ่อเป็นแม่เหมือนลูกหมดทุกคน นั่นแหละการให้สูงอย่างนี้ ให้ถึงกับเป็นพ่อเป็นแม่ เพราะฉะนั้น การให้นี่เป็นตัวสำคัญ ทั้ง๑๐ อย่างนี้แหละ จำไว้เป็นตำรับตำรา เราเป็นมนุษย์ยังไม่ถึงชาติที่สุดแล้วต้องให้ ถ้าไม่ให้แล้ว ไปในภายภาคข้างหน้ามันกันดาร ไม่สมบูรณ์บริบูรณ์ด้วยเครื่องกินเครื่องใช้ มันขาดตกบกพร่อง ถ้าว่าให้ไปเนือง ๆ ให้เป็นเนืองนิตย์อัตราแล้ว ไม่ขาดตกบกพร่อง ไม่ทุกข์ไม่ยากในระหว่างนั้น ๆ พอใช้พอสอยทีเดียว เพราะการให้เป็นตัวสำคัญ ท่านถึงได้วางเป็นตำรับตำราเป็นแบบแผนไว้ว่า
อนฺนโท พลโท โหติ อนฺนโท พลโท โหติ ผู้ให้ข้าว ข้าวสวยหรือข้าวต้มก็ช่าง ของอิ่มนี้ ผู้ให้ข้าวได้ชื่อว่าให้กำลัง อนฺนโท พลโท โหติ ผู้ให้ข้าวได้ชื่อว่าให้กำลัง แต่ว่าในที่นี้น่ะบอกแต่กำลังอย่างเดียว ในที่อื่นให้ข้าวอย่างเดียว ให้โภชนาหารอย่างเดียวได้ชื่อว่า ให้อายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณทีเดียว ให้กำลังด้วย ให้ปัญญาด้วย ให้ความสุขด้วย ให้ความสวยงามด้วย ให้อายุด้วย ๕ อย่าง ให้ข้าวอย่างเดียว แต่ว่าในที่นี้ท่านวางหลักไว้ว่า ผู้ให้ข้าวได้ชื่อว่าให้กำลัง อนฺนโท พลโท โหติ
วตฺถโท โหติ วณฺณโท ผู้ให้ผ้าสำหรับนุ่งห่มและใช้สอยเหล่านั้น ได้ชื่อว่าให้ความสวยงาม ได้ชื่อว่าให้ความสวยงาม ให้ผ้าสำหรับนุ่งห่มใช้สอยต่าง ๆ นั่นน่ะได้ชื่อว่าให้ความสวยงาม เกิดชาติใดภพใด ไอ้ความสวยงามจะต้องติดตัวไปไม่ขาดสาย เพราะตัวสร้างความสวยงามของตัวไว้ ผู้ให้ข้าวได้ชื่อว่าให้กำลัง ให้อาหารไปแล้วเกิดชาติใดภพใดตัวจะต้องมีกำลังไม่ขาดตกบกพร่องตลอดชาติทุก ๆ ชาติไป นับชาติไม่ไหว เพราะตัวได้สร้างกำลังของตัวไว้แล้ว นี่ต้องสร้างไว้อย่างนี้
ยานโท สุขโท โหติ ผู้ให้ยานเครื่องอุปการะแก่การไปมา หรือค่าอุปการะ ค่ารถ ค่าเรือ ให้สำเร็จแก่การไปมาได้ ผู้นั้นได้ชื่อว่าให้ความสุขแท้ ๆ ยานโท สุขโท โหติ ผู้ให้ยานได้ชื่อว่าให้ความสุข ถ้าให้เขาไปรถไปเรือได้ เขาก็ได้รับความสุขเท่านั้น เมื่อตัวสร้างความสุขของตัวไว้เช่นนี้แล้ว ภพชาติต่อ ๆ ไปละไอ้ความสุขต้องอยู่กับตัวในเรื่องยานน่ะ ตัวไม่ขาดตกบกพร่องแล้ว ชาติต่อ ๆ ไปต้องมีสำหรับใช้ทุกขณะทุกเมื่อไป เพราะตัวได้สั่งสมอบรมในเรื่องยานของตัวเองไว้ นี้ได้ชื่อว่า ยานโท สุขโท โหติ
ทีปโท โหติ จกฺขุโท ทีปโท โหติ จกฺขุโท ผู้ให้ประทีป ให้ประทีปน่ะคือให้ไฟนั่นเอง ผู้ให้ประทีปได้ชื่อว่าให้นัยน์ตา ให้ความเห็น ก็จริงละ ในเมื่อมืด ๆ เขาจุดประทีปตามไฟให้ ก็เดินเห็นทางได้สะดวก จึงได้ชื่อว่า ถ้าว่ามืดอยู่เช่นนั้นมันก็ไม่เห็นอะไร มีนัยน์ตาเหมือนไม่มีนัยน์ตา เมื่อสว่างขึ้นเช่นนั้นก็ได้ชื่อว่ามีนัยน์ตาขึ้น ถึงได้ชื่อว่าให้นัยน์ตานั่นเอง ผู้ให้ประทีปได้ชื่อว่าให้นัยน์ตา ทีปโท โหติ จกฺขุโท ทีปโท โหติ จฺกขุโท เป็นผู้ให้ประทีป ได้ชื่อว่าให้ความเห็นหรือว่าให้นัยน์ตา นี่เป็นหลักสำคัญ เกิดชาติใดภพใดนัยน์ตาของตัวนั้นไม่ต้องรักษาโรคแล้ว ทุกชาติทุกภพไป เพราะตัวให้นัยน์ตา สร้างนัยน์ตาของตัวไว้เสียแล้ว สมบูรณ์บริบูรณ์นับชาตินับภาพไม่ถ้วน เพราะสร้างนัยน์ตาของตัวไว้เป็นอันดีซะแล้ว นี่ในบาทพระคาถานี้แก้ไขในเรื่องการให้ แก้ไขเรื่องการให้ไม่ใช่เท่านั้น ยังแก้ไขอีก บาทพระคาถาต่อไปว่า มนาปทายี ลภเต มนาปํ
มนาปทายี ลภเต มนาปํ ผู้ให้ของดี ผู้ให้ของชอบใจ ย่อมได้ของชอบใจ มนาปทายี ผู้ให้ของชอบใจ ลภเต ปุนคฺคํ (มนาปํ) ย่อมได้ของชอบใจ สิ่งใดที่มาถึงตัวแล้วชอบใจทั้งสิ้น เพราะตัวได้สั่งสมของชอบใจของตัวไว้ ถ้าให้ของที่ไม่ชอบใจ ก็ตรงกันข้าม ได้ของที่ไม่ชอบใจ ให้ของที่ชอบใจได้ของที่ชอบใจ ตรงกันข้ามอย่างนี้ ให้อุตส่าห์พยายาม ที่จะให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดน่ะ ต้องเป็นที่ชอบใจของตัว ได้ชื่อว่าให้ความหวัง ให้ความสมหวังของตัวทุกภพทุกชาตินับชาติไม่ถ้วนไว้ ต่อไปข้างหน้าเป็นของตัวแท้ ๆ ที่ตัวให้นั้น
อคฺคสฺส ทาตา ลภเต ปุนคฺคํ ให้ของเลิศย่อมได้ของเลิศ อคฺคสฺส ทาตา ลภเต ปุนคฺคํ ให้ของเลิศย่อมได้ของเลิศ เลิศเพียงแค่ไหนก็แล้วแต่วัตถุนั้น ๆ แล้วแต่กาลนั้น ๆ แล้วแต่ประเทศนั้น ๆ ที่เขานิยมนับถือกัน
วรสฺส ทาตา วรลาภิ โหติ ให้ของชอบใจย่อมได้ของชอบใจ สิ่งใดที่ชอบใจ ถ้าอยากจะได้ของที่ชอบใจอยู่แล้วละก็ ให้ทำของที่ชอบใจนั้นไว้ ให้สร้างของที่ชอบใจของตัวไว้ บริจาคทานแก่สมณพราหมณาจารย์ หรือยาจก วณิพก คนพิการ อนาถา ให้ของที่ชอบใจย่อมได้ของที่ชอบใจอยู่เนืองนิตย์อัตรา จงอุตส่าห์พยายามสั่งสมของตัวไว้เสีย เมื่อตัวมาประสบพบพุทธศาสนาแล้ว ต่อไปในภายหน้า เมื่อรู้ข้อทั้งหลายเหล่านี้แล้ว ต้องสั่งสมของตัวเสีย ย่อมเป็นของตัวแท้ ๆ ใครทำเป็นของคนนั้น คนอื่นจะแย่งชิงอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ได้
เสฏฺฐนฺทโท เสฏฺฐมุเปติ ฐานํ ให้ของดีได้ของดี เสฏฺฐนฺทโท เสฏฺฐมุเปติ ฐานํ ให้ฐานะอันเลิศ ย่อมเข้าถึงซึ่งฐานะอันเลิศ ให้ฐานะอันเลิศย่อมถึงซึ่งฐานะอันเลิศ ฐานะอันเลิศน่ะไฉน ที่เขาได้กันในบัดนี้ ฐานะอันเลิศเป็นชั้น ๆ ขึ้นไป ในทางราชการเราก็เห็นมียศถาบรรดาศักดิ์เป็นชั้น ๆ ขึ้นไป นั้นเกิดจากผู้ให้ทั้งนั้น เกิดจากผู้ให้ทั้งนั้น ถ้าไม่ให้ก็ไม่ได้ ทั้งหญิงก็ดี ชายก็ดี เราใช้อยู่ ก็ต้องให้ฐานะกัน ให้ฐานะเป็นใหญ่ในหน้าที่การงานนั้น ๆ ให้มันเป็นหัวหน้าการงานขึ้น ให้มันมีตำแหน่งและหน้าที่การงานมากขึ้น ก็ได้ชื่อว่าให้ฐานะอันเลิศเหมือนกันตลอดไป ก็ย่อมได้ประสบฐานะอันเลิศด้วยกัน ไปตามกาลตามส่วน ถ้าแม้ว่าเป็นกษัตริย์ ฐานะอันเลิศเหล่านี้ ท่านก็ประทานได้ตามเฉพาะที่ชอบสุดแต่ใจของท่าน หรือเป็นนายกก็ให้ฐานะอันเลิศอย่างนี้ได้ เมื่อให้ฐานะอันเลิศก็ย่อมประสบซึ่งฐานะอันเลิศ
อคฺคทายี วรทายี เสฏฺฐทายี จ โย นโร อคฺคทายี วรทายี เสฏฺฐทายี จ โย นโร คนใดให้ของเลิศ ให้ของเป็นที่ชอบใจ ให้ของประเสริฐ จะไปเกิดในที่เช่นใด ๆ ทีฆายุ ยสวา โหติ ย่อมเป็นผู้มีอายุยืน มียศในที่นั้น ๆ จะไปเกิด ยตฺถ ยตฺถูปปชฺชติ จะไปเกิดในที่ใด ๆ ฑีฆายุ ยสวา โหติ ย่อมเป็นผู้มีอายุยืน มียศในที่นั้น ๆ นี้ส่วนเหล่านี้ต้องมีที่เกิดอย่างนี้
เอเตน สจฺจวชฺเชน ด้วยสัจวาจาภาษิตนี้ เอเตน สจฺจวชฺเชน ด้วยวาจาภาษิตนี้ สุวตฺถิ โหตุ สพฺพทา ขอความสวัสดีจงมี และสุขเกิดแต่ความไม่มีโรค และอนามัยเป็นอันดี จงมีแก่ท่านทั้งหลายในกาลทุกเมื่อ ด้วยสัจวาจาภาษิตนี้ ขอความสวัสดีจงมี ขอความสวัสดี ขอความสวัสดีและสุขเกิดแต่ความไม่มีโรคและอนามัยเป็นอันดี จงบังเกิดมีแก่ท่านทั้งหลายในกาลทุกเมื่อ
สิทฺธมตฺถุ สิทฺธมตฺถุ สิทฺธมตฺถุ อิทํ ผลํ
เอตสฺมิํ รตนตฺตยสฺมิํ สมฺปสาทนเจตโส
ขอจิตอันเลื่อมใสในพระรัตนตรัยนี้นี่ ขอผลแห่งจิตเลื่อมใสในพระรัตนตรัยนี้นี่ จงเป็นผลสำเร็จ ๆ ๆ ๆ ทุกประการ ดังรับประทานวิสัชนามา ตามวาระพระบาลีคลี่ความเป็นสยามภาษา นี้เนื้อความของพระบาลีแท้ ๆ ออกจากกระแสวาระพระบาลี ไม่คลาดเคลื่อน ต่อแต่นี้จะอรรถาธิบายขยายความเป็นลำดับไปว่า
อนฺนํ ปานํ วตฺถํ ยานํ มาลา คนฺธํ วิเลปนํ
เสยฺยาวสถํ ปทีเปยฺยํ ทานวตฺถู อิเม ทส
ทานวัตถุ ๑๐ ประการนี้ วัตถุเป็นเครื่องให้ทาน เรียกว่า ทานวัตถุ วัตถุเป็นเครื่องให้ทาน ๑๐ ประการเหล่านี้ เราก็ใช้อยู่เสมอ ข้าวก็ใช้อยู่ ก็ได้รับประทานกัน เพราะว่าเป็นของมีค่าไม่ใช่ของไม่มีค่า มีค่าหมดทั้งประเทศ ทุกประเทศไม่ว่าประเทศไหน นิยมกันนักเรื่องอาหารนี้ แต่ว่าอาหารต่างประเทศ ตามต่างประเทศจะมีนี่แล้วแต่ฉากหลังที่หล่อเลี้ยงประเทศนั้น ๆ ถ้าหยาบ วิชชาหยาบไม่ละเอียด ก็ได้ไม่พอในอาหาร ได้อาหารทราม แจกในประเทศของตัว ถ้าแม้ว่าฉากหลังมีวิชชาละเอียดรักษา ช่วยกันรักษาวิชชามาได้ดี ก็ได้ของประณีตหล่อเลี้ยงประเทศของตัว ที่ตัวรักษา ฉากหลังนั้นเป็นตัวสำคัญ ฉากหลังนี้เราก็นับถือนะ ไม่ใช่เราไม่นับถือเมื่อไร ฉากหลังน่ะคือใคร อยากจะรู้ฉากหลังนั่น ฮื่อ ติดตัวเรามานี้ ให้เราเป็นอยู่นี่แหละ เราเป็นอยู่ก็ได้ ไม่เป็นอยู่ตายไปเสียก็ได้ นี้ฉากหลังซิน่ะ ถ้าไม่มีล่ะก็ มันก็เป็นอยู่ได้สิ มันจะตายได้ยังไง มี มีฉากหลัง
แต่ว่าผู้ปฏิบัติศาสนาทั้งภิกษุสามเณร อุบาสกอุบาสิกา ไม่ควรกระทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ตัวของตัวเสีย ควรจะรู้ชี้ตัวของตัว รู้ชี้ยังไง ว่าตัวของตัวมีฉากหลัง ให้ตัวเป็นอยู่ได้ ให้ตัวสูงก็ได้ ให้ตัวต่ำก็ได้ ให้ตัวอดก็ได้ ให้ตัวจนก็ได้ ให้ตัวมีก็ได้ ไอ้นี่ฉากหลังมีน่ะ แต่ว่าใครน่ะเป็นฉากหลังนั่น นี่ฉากหลังนี่เป็นตัวสำคัญ ให้มนุษย์เป็นอยู่ หญิงก็ดี ชายก็ดี ให้เป็นคนชั้นสูงก็ได้ ให้เป็นคนประณีตก็ได้ ให้เป็นคนเป็นที่ไหว้ที่เคารพ ที่สักการบูชาเขาทั้งหมดก็ได้ ให้เขาติเตียนว่ากล่าวนินทา ให้มีนินทาด่าแช่งก็ได้ ฉากหลังนี่แหละเป็นตัวสำคัญนัก ถ้ารู้จักฉากหลังละก็ ไปให้ถึง ให้เป็นกันเองกับฉากหลังเสีย ถ้าว่าทำได้อย่างนี้ตัวเองจะเบาใจเพียงแค่ไหน
เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ๆ ถ้าไม่รู้จักฉากหลัง เข้าไม่ถึงฉากหลังแล้วล่ะก็ ตัวเองจะหนักใจแค่ไหน จะไม่สะดวกในใจแค่ไหน เพราะความเป็นอยู่ก็ไม่ใช่ของตัว ความดีความชั่วที่ตัวกระทำ ๆ เหล่านี้น่ะไม่ใช่ของตัวทั้งนั้น ทำชั่วเขาจะให้ความดีก็ได้ ทำดีเขาจะให้ความชั่วก็ได้ เพราะฉากหลังไม่เป็นของตัวนี่ วางใจไม่ได้ เมื่อวางใจไม่ได้ก็ต้องลำบากใจอยู่ในขณะนี้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ต้องเรียนให้รู้จักฉากหลัง รู้จักเป็นชั้น ๆ ไปนะ ฉากหลังนี่เป็นตัวสำคัญ มนุษย์นี่เป็นตัวฉากหน้าละ
มนุษย์หญิงชายที่มานั่งฟังเทศน์ มาเทศน์อยู่นี่แหละฉากหน้าละ ฉากหลังมี ฉากหลังกระซิบอยู่ข้างในนั่นแหละ ให้เทศน์เรื่องนั้นเรื่องนี้ ให้เทศน์อย่างนั้นอย่างนี้ ผู้ฟังก็อยู่ข้างในเหมือนกัน ไอ้กายมนุษย์ก็นั่งไป ไอ้ฉากหลังก็กระซิบไป ให้ฟัง ให้จำเท่านั้น จำเท่านี้ จำเท่าโน้น นั่นอีกฉากหนึ่ง มีอีกชุดหนึ่ง ฉากหลังเข้าไป ก็ไอ้กายที่ฝันออกไป ไอ้กายที่ฝันนั่นเป็นฉากหลังละนะ
แล้วไอ้กายที่ฝันนั่นแหละมีฉากหลังอีก มีกายทิพย์เป็นฉากหลังของกายมนุษย์ละเอียดเข้าไปอีก ไอ้กายมนุษย์ละเอียดนั่นแหละ
ไอ้กายทิพย์นั่นแหละ ที่เป็นฉากหลังของกายมนุษย์ละเอียด นั่นแหละมีฉากหลังอีก เขาเรียกว่า กายทิพย์ละเอียด
ในกายทิพย์ละเอียดนั้นแหละ มีฉากหลังอีก เขาเรียกว่ากายรูปพรหม
ในกายรูปพรหมน่ะมีฉากหลังอีก เรียกว่า กายรูปพรหมละเอียด
ในกายรูปพรหมละเอียดแหละมีฉากหลังอีก เรียกว่า กายอรูปพรหม
ในกายอรูปพรหมน่ะมีฉากหลังอีก เรียกว่า กายอรูปพรหมละเอียด
ในกายอรูปพรหมละเอียดนั่นแหละมีฉากหลังอีก เรียกว่า กายธรรม
ในกายธรรมนั่นแหละมีฉากหลังอีก เรียกว่า กายธรรมละเอียด
ในกายธรรมละเอียดนั่นแหละมีฉากหลังอีก เรียกว่า กายธรรมพระโสดา
กายธรรมพระโสดาน่ะมีฉากหลังอีก เรียกว่า กายธรรมพระโสดาละเอียด
กายธรรมพระโสดาละเอียดน่ะมีฉากหลังอีก เรียกว่า กายธรรมพระสกทาคา
กายธรรมพระสกทาคาน่ะมีฉากหลังอีก เรียกว่า กายธรรมพระสกทาคาละเอียด
กายธรรมพระสกทาคาละเอียดนั่นแหละมีฉากหลังอีก เรียกว่า กายธรรมพระอนาคา
กายธรรมพระอนาคายังมีฉากหลังอีก เรียกว่า กายธรรมพระอนาคาละเอียด
กายธรรมพระอนาคาละเอียดนั่นแหละมีฉากหลังอีก เรียกว่า กายธรรมพระอรหัต
กายธรรมพระอรหัตน่ะมีฉากหลังอีก เรียกว่า กายธรรมพระอรหัตละเอียด
กายธรรมพระอรหัตละเอียดนี่แหละ ผู้เทศน์นี่ตรวจเข้าไปในฉากหลังนี่แหละ ๒๕ ปียังไม่เต็มดี กลางเดือน ๘ หลัง นั่นเต็มปีเต็มเดือนเต็มวันพอดี จะให้หมดฉากหลังนี่ จะให้สุดฉากหลังนี่ จะให้สุดฉากหล่อเลี้ยงเหล่านี้ ยังไม่สุด ยังไม่สุดผู้เทศน์ก็ยังเป็นบ่าวเขาอยู่ ยังเป็นบ่าวเป็นทาสเขาอยู่ ยังเอาตัวรอดไม่ได้ เพราะอะไร ไปยังไม่สุดฉากหลัง เขายังปกครองเราอยู่ นี่ไปต้องไปให้สุด เมื่อไปสุดแล้วเราจะเห็นฉากหลังในฉากหลังเข้าไปอีก เมื่อไปสุดแล้วเราจะไปพบฉากหลังในฉากหลังอีก ฉากหลังในฉากหลังนี้จะมีอีกเท่าไรเรายังรู้ไม่ได้ เพราะว่าไปยังไม่สุด นี่แหละฉากหลังเหล่านี้แหละ หญิงก็ดี ชายก็ดี ภิกษุสามเณรควรจะรู้ ถ้าไม่รู้เราก็เสียคนทีเดียว เป็นบ่าวเป็นทาสเขาหมดทั้งชาติ เอาตัวรอดไม่ได้
ที่เรียกว่า ตณฺหาทาโส อิทานิสิ ล่ะ ไม่ผิดล่ะ ไม่ได้คลาดเคลื่อนเลยทีเดียว เพราะอะไร เพราะไม่รู้ฉากหลังก็เป็นบ่าวเป็นทาสเขาไป ถ้ารู้ฉากหลัง บังคับฉากหลังได้ละก็ ก็เลิกเป็นบ่าวเป็นทาสเขา มันก็เป็นเจ้าเป็นนายเขาบ้าง นี่เป็นเรื่องสำคัญนะ ต้องให้เข้าใจทีเดียว ให้เข้าใจให้แน่ทีเดียว
เมื่อเข้าใจแน่แล้วก็ เราจะต้องเริ่มต้นเสียตั้งแต่ชาตินี้ทีเดียว รอไว้ไม่ได้ ถ้าว่าชาตินี้ยังไม่รู้ฉากหลัง ยังไม่พบฉากหลัง เราจะต้องยอมตาย ถ้าเข้าถึงฉากหลังไม่ได้เราจะต้องยอมตาย ต้องเข้าถึงฉากหลังให้ได้ ไอ้ที่ปกครองเราลับ ๆ นี่ ใช้เราลับ ๆ นี่ เราไม่รู้เลย พระสมณโคดมบรมครูเอง พอไปเห็นกายมนุษย์ละเอียดเข้าเท่านั้น ทรงรับสั่งแล้ว อเนกชาติสํสารํ สนฺธาวิสฺสํ อนิพฺพิสํ คหการํ คเวสนฺโต ทุกฺขา ชาติ นั่นทรงรับสั่งแล้ว เรานี่เวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จักจบนี่ เพราะท่านนี่เองพาให้เราเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จักจบ
เมื่อไปพบชั้นหนึ่งแล้วไปพบกระทั่งถึงไอ้ตัวสร้างบ้านสร้างเรือน กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา สร้างบ้านสร้างเรือน สร้างกายท่านไม่รู้จบ นั่นไปพบเรื่องนั้นก็ยิ่งทำเป็นยกใหญ่ทีเดียว ถึงได้ทำลายล้างกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหาเสีย ออกจากไตรภพไป หลบออกจากไตรภพไป กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ทำอะไรท่านไม่ได้ แต่ว่าทำไม่ได้ ทำไม่ได้ขั้นหยาบ ๆ ขั้นละเอียดยังอยู่ในปกครองเขา ไอ้ฉากหลังนู้น ไอ้ฉากหลังใหญ่โตโน่น ยังบังคับพระสมณโคดมอยู่ เราจะไปให้พ้นให้เลยฉากหลังที่บังคับพระสมณโคดมอยู่ พระอรหันต์อยู่ พระพุทธเจ้าอยู่มากน้อยเท่าไร เราจะไปให้เลยเสียให้หมดทีเดียว ไม่ให้มีฉากหลังต่อไป นั่นแน่ เราจะเอาตัวรอดได้แล้ว เอาตัวรอดได้แล้ว
ถ้าไปไม่ถึงขนาดนั้น เรามาพบพุทธศาสนาคราวนี้ก็เสียคราวเหมือนกัน เอาตัวรอดไม่ได้ ทำไมเอาตัวรอดไม่ได้ล่ะ ก็ไปไม่ตลอดฉากหลังจะเอาตัวรอดได้ไง มันก็ยังเป็นบ่าวเป็นทาสเขาอยู่นั่น เมื่อเป็นเช่นนั้นละก็เราจะต้องคาดคั้นทีเดียว จะต้องคาดคั้นทีเดียว ต้องไต่เข้าไปทีเดียว เป็นกาย ๆ เข้าไป อย่าเข้าใจว่าไอ้ที่เขาใช้ให้ทำชั่วด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ เขากระซิบให้ทำอย่างนั้น เขากระซิบให้ทำอย่างนี้น่ะ ไอ้นั่นก็เป็นบ่าวเป็นทาสเขาน่ะสิ เขาถึงใช้มันตามชอบใจ ให้ผิดธรรมผิดวินัยซะป่นปี้ ให้เหลวไหลป่นปี้ ให้กลายเป็นคนเลว คนเลวคนเกวไป นี่เพราะอะไรล่ะ ก็เพราะไอ้ฉากหลังมันบังคับ เขาไม่ได้แกล้ง ฉากหลังมันบังคับ ไม่รู้เท่าทันฉากหลัง ฉากหลังบังคับเสียหายป่นปี้ เหตุนี้แหละให้ระวังฉากหลังเป็นตัวสำคัญ จะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดในสากลโลกทั้งสิ้น จะทำงานใหญ่งานโตงานย่อยสักเท่าหนึ่งเท่าใด ให้ระวังให้รอบตัวทีเดียว ระวังให้รอบตัวฉากหน้าฉากหลังเหล่านี้ ระวังให้รอบตัวทีเดียว ถ้าว่าทำฉากหน้าฉากหลังได้อย่างนี้แล้วละก็ การงานเหล่านั้นจะสำเร็จทุกสิ่งทุกประการ แต่ว่าให้ทำฉากหน้าฉากหลังให้ดีนะ ถ้าว่าทำไม่ดีแล้วละก็ ประเดี๋ยวก็ต้องนอนหลับที่ใดที่หนึ่ง เพราะไม่ทันเขา จะไปโทษเขาไม่ได้ เราไม่เท่าทันเขา
เหตุนี้แหละเราอุตส่าห์เริ่มต้นให้ทาน เริ่มต้นให้ทาน ให้บริสุทธิ์ในใจ ให้เบิกบานทีเดียว จะได้เกิดปัญญาเฉลียวฉลาดขึ้น ขั้นที่ ๒ ประคองใจของเรา เจตนาของเรา ให้อยู่ในศีล ศีลแล้วแต่เจตนา เจตนาหํ ภิกฺขเว สีลํ เจตนาบริสุทธิ์ในองค์ทั้ง ๕ หรือทั้ง ๘ ทั้ง ๑๐ เจตนาบริสุทธิ์ในปาณาติบาต อทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจารา เหล่านี้ หรือเจตนาบริสุทธิ์ใน ๘ หรือเจตนาบริสุทธิ์ใน ๑๐ ก็แล้วแต่จะบริสุทธิ์ได้แค่ไหน รักษาความบริสุทธิ์ของกาย วาจา ใจ ให้มั่นและอย่าให้คลาดเคลื่อน แล้วแก้ไขใจให้ใส แก้ไขใจให้ใส เราจะได้เห็นฉากหลังชัดหนักขึ้นทุกทีไป แก้ไขใจให้ใส จะได้เห็นฉากหลังชัดหนักขึ้นทุกทีไป
เมื่อให้ทาน ประพฤติความบริสุทธิ์เป็นศีล รักษาใจให้ใสเป็นปัญญา เนืองนิตย์อัตราทั้งวันทั้งคืน เว้นไว้แต่หลับ แล้วตื่นละก็เป็นอย่างนั้นอยู่เสมอไป จะเป็นอะไรก็เป็นไป แล้วก็มุ่งหมายจะไปที่สุดฉากหลังให้ได้ ถ้าว่าไม่สุดละก็ตายเถอะชาติหนึ่ง ไม่ยอมกันเด็ดขาดล่ะ ไม่ยอมกันละ ที่จะเลิกไปเป็นไม่เอา ใครจะชวนให้เลี้ยวลดซะ ให้เที่ยวให้เสียเวลาซะ เที่ยวนอนซะ เที่ยวคุยซะ เที่ยวทำผิดลู่ผิดทาง ผิดทางฉากหลังซะเช่นนี้ล่ะก็ หักหัวเสียก็ไม่ยอม ไม่เชื่อ ไม่เชื่อเด็ดขาดเชียว ก็นี่มันคนบ่าวคนทาสเขานี่ เขาจะไปชวนให้เราเป็นบ่าวเป็นทาสซะอีกละ เราจะไปเห็นอะไรด้วยล่ะ เราไม่ยอมเด็ดขาดทีเดียว เราจะไปให้ตลอด ให้เลยฉากหลังอันนี้ให้ได้ ให้ถึงที่สุดฉากหลังให้ได้ ใครจะทำไปมั่ง เราก็ไต่สวนไปทีเดียว
นี่วิชชาวัดปากน้ำมีอยู่แล้วเวลานี้ มีวิชชาตรวจฉากหลังเรานี่ คือธรรมกายปรากฏอยู่แล้ว เขากำลังตรวจอยู่แล้ว เขากำลังทำกันอยู่แล้ว นี่แหละของจริง พระเณรไม่รู้จักของจริงล่ะก็ อย่าโกงตัวเอง อย่าดูถูกตัวเอง ให้อุตส่าห์พยายามตรวจฉากหลังของตัวให้สุดให้ได้ ถ้าไม่สุดฉากหลังตัวก็เป็นบ่าวทาสเขาอยู่นั่น ไม่ต้องไปสงสัย เมื่อรู้เมื่อเข้าใจดังนี้แล้ว ตัวก็จะได้บรรลุผลที่ยิ่งใหญ่ไพศาลหาประมาณมิได้ พระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งไปพบท่านเข้า ถ้าเราไปได้สุด ท่านก็จะยิ้มในพระทัยว่า เออ ไอ้นี่มันลูกผู้ชายจริง เออ ไอ้นี่เป็นคนมีปัญญา เป็นผู้หญิงก็มีปัญญาจริง ไอ้นี่เป็นผู้ชายก็ฉลาดจริง ไม่เป็นคนโง่ นอกจากนั้น ถ้าว่าไม่พยายามให้สุดฉากหลังเช่นนี้ละก็ เป็นบ่าวทาสเขา ไม่ใช่คนฉลาด จะไปเอาเป็นเกณฑ์ไม่ได้ ให้แน่นอนอย่างนี้นะ แน่นอนอย่างนี้ถึงจะเอาตัวรอดได้ แต่เข้าใจนะว่าเขาใช้เราเท่านั้น ใช้เราเท่านี้ เป็นบ่าวเป็นทาสเขาน่ะ เพราะเราไม่ทำฉากหลังเหล่านี้ เขาก็ใช้เราตามชอบใจ ใช้เป็นบ่าวเป็นทาสป่นปี้ ถึงจะมีปัญญาแค่ไหนก็ช่าง ใช้เป็นบ่าวเป็นทาสป่นปี้
เหตุนี้ต้องแก้ไขทีเดียว ต้องไปให้สุด สุดฉากหลังให้ได้ เริ่มต้นดังกล่าวแล้ว ต้องบริจาคทานดังใจนึก ใจเบิกบานสำราญใจ ทำใจให้ใส เบิกบานสำราญใจ และทำความบริสุทธิ์เจตนาให้ดี บริสุทธิ์ทางกาย ทางวาจา ทางใจ ให้สะอาด และทำใจให้ใส ให้ใสให้ดีละก็ ดูฉากหลังแหวกฉากหลังตะพรึดทีเดียวทั้งวันทั้งคืนเว้นไว้แต่หลับซะ ตื่นแล้วก็ไม่รอท่าล่ะ ทำให้สุดให้ได้ ไม่สุดไม่ยอมกันเด็ดขาด ถ้าเราไม่ไปเราก็ตาย เราไปเราก็ตาย ไปหรือไม่ไปล่ะ ถ้าไม่ไปก็ตาย ไม่กี่เดือนกี่ปีก็ตาย มนุษย์หมดทุกคน จะไปหรือไม่ไปล่ะ ไม่ไปก็ตาย ไปดีกว่าไม่ไป ไอ้นั่นมันตายเปล่า หาหลักฐานไม่ได้ หากว่าไป นี่จะได้ถึงแค่ไหนก็แล้วแต่แค่นั้น ชาติต่อ ๆ ไปอีก ไม่ถอยกลับ ไม่ถอยหลังกลับกัน นี่แหละนับว่าเป็นคนมีปัญญา ดำเนินแนวทางพุทธศาสนา ต้องดำเนินอย่างนี้ เป็นทางสูงสุดในพระพุทธศาสนา
ที่ได้ชี้แจงแสดงมานี้ ตามวาระพระบาลี คลีความเป็นสยามภาษา ตามมตยาธิบาย พอสมควรแด่เวลาว่า วรญฺญํ สรณํ นตฺถิ สิ่งอื่นไม่ใช่ที่พึ่งที่ประเสริฐของเราท่านทั้งหลาย สรณํ เม รตนตฺตยํ รัตนตรัยเป็นที่พึ่งอันประเสริฐของเราท่านทั้งหลาย เอเตน สจฺจวชฺเชน ด้วยอำนาจความสัตย์ที่ได้อ้างธรรมปฏิบัติตั้งแต่ต้นจนอวสานนี้ สทา โสตฺถี ภวนฺตุ เต ขอความสุขสวัสดีจงบังเกิดมีแด่ท่านทั้งหลาย ทั้งคฤหัสถ์บรรพชิต บรรดามาสโมสรในสถานที่นี้ทุกถ้วนหน้า อาตมภาพชี้แจงแสดงมาพอสมควรแก่เวลา สมมติว่ายุติธรรมิกถา โดยอรรถนิยมความไว้เพียงเท่านี้
เอวํ ก็มีด้วยประการฉะนี้ ฯ