Getting your Trinity Audio player ready...
|
เมื่อมีแขกมาพบคุณยาย ท่านจะตรวจดูนรกสวรรค์ให้เสมอ แต่ไม่ได้หมายความว่าแขกที่มาพบจะเชื่อคุณยายทุกคนบางคนเชื่อ บางคนไม่เชื่อ บางคนเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง มีอยู่รายหนึ่งเป็นผู้ใหญ่ ท่านรูปร่างสันทัดออกท้วมๆ ศีรษะเถิกมีผมเหลือน้อย ภรรยาของท่านเป็นครูโรงเรียนวัดบวรนิเวศที่เคารพเลื่อมใสศรัทธาคุณยายมาก แต่ฝ่ายชายที่เป็นสามีนั้นเฉยๆ เป็นคนดื้อที่แปลก ไม่เชื่อเรื่องนรก สวรรค์ ไม่เชื่อเรื่องกายละเอียด แต่สวดมนต์อย่างเดียวหลายชั่วโมงทุกวัน เผื่อเหนียวไว้ ส่วนภรรยาของท่านนั่งสมาธิเป็นประจํา
หลวงพ่อเห็นเขาดื้อมากจนหลวงพ่ออดไม่ได้ที่จะหงุดหงิด วันนั้นพอเขามากราบคุณยาย เขาก็ขึ้นมานั่งข้างหน้า ยกมือไหว้คุณยายแล้วขึ้นอารัมภบทว่า ผมไม่เชื่อหรอกว่านรกสวรรค์มีจริง ผมเชื่อว่าตายแล้วสูญ แต่ผมอยากให้คุณครูช่วยดูให้หน่อยว่าพ่อแม่ของผมตายแล้วไปอยู่ที่ไหน ผมทําบุญแล้วจะเอาบุญนี้อุทิศไปให้ ว่าแล้วก็ยื่นใบอนุโมทนาบัตรให้คุณยาย ต่อจากนั้นเขาก็เล่าให้ฟังว่าได้เคยไปวัดแห่งหนึ่งแถวบางลําภู ไปเล่าให้พระท่านฟังว่ามีอยู่วันหนึ่งตอนกลางคืนขณะอยู่บ้านนอก เขานอนห้อยเท้าลงตรงชานบ้านที่ยื่นออกไป ในขณะที่แสงจันทร์ส่องอยู่นั้นเองเขาเห็นควันลอยออกมาจากร่องกระดาน ควันนั้นยืดออกเป็นรูปร่างคนผอมๆ สูงๆ แล้วก้าวข้ามหลังคาบ้านสองชั้นไปเขาถามพระท่านว่ามันคืออะไร ท่านตอบว่า “เปรต…โยม คงเป็นเปรตนะ” เลยซักถามพระต่อไปอีกว่า “มีจริงเหรอ” พระตอบว่า “จริง” “ท่านเคยเห็นเหรอ” “ไม่เคย” “แล้วรู้ได้อย่างไร” “ก็อ่านจากพระไตรปิฎก”
แขกท่านนี้รู้สึกไม่มั่นใจจึงมาหาคุณยาย หลวงพ่อก็นั่งอยู่ด้วย พอเล่าจบแล้วคุณยายก็นั่งนิ่งๆ สัก 5 นาที แล้วบอกว่าเป็นเปรต เขาถามย้ําว่ามีจริงเหรอ เคยเห็นด้วยเหรอ คุณยายตอบว่ามีและเคยเห็น อีกคําถามคือทําไมเปรตถึงมาโผล่ให้เห็น คุณยายตอบว่าเขาเป็นญาติของคุณ เขาเถียงว่าเขาไม่มีญาติเป็นเปรต ปฏิเสธแล้วก็ยกไม้ยกมือบอกว่าญาติผมไม่มีทางเป็นเปรต ทําไมถึงเป็นเปรตได้ ท่านก็นั่งเฉยๆ
หลับตาสักพักแล้วบอกอีกว่าญาติคุณน่ะเป็นมัคนายกแล้วไปโกงของวัด ตายแล้วไปเป็นเปรต เขาเถียงว่าไม่มีญาติเป็นมัคนายกนะ แต่ถ้าเกิดมีขึ้นมาแล้วญาติชื่ออะไร หลวงพ่อฟังแล้วรู้สึกอึดอัดแทนคุณยาย เพราะตอนนั้นยังหนุ่มอยู่ คือเรารักและเคารพคุณยายมากไม่เคยลบหลู่ท่านเลย แขกคนนี้มาจากไหนไม่รู้มาพูดกับคุณยายแบบนี้ แต่คุณยายกลับนั่งหลับตาเฉยไม่มีอาการหงุดหงิดเลยถ้าเป็นเราคงเอาเรื่องไปแล้ว
ท่านหลับตาสักพักก็ลืมตาขึ้นมาบอกว่าชื่อ “รัศมี” เขาแย้งว่าไม่มีญาติชื่อเชยๆ แบบนี้หรอก และไม่เคยมีญาติเป็นมัคนายกด้วย แล้วถ้าเป็นก็ไม่โกงด้วยเพราะตระกูลเขาไม่มีใครโกง “ผมนี่ไม่ชอบคนโกง แล้วผมก็ไม่เชื่อว่าเป็นมัคนายกเพราะว่าไม่มี” คุณยายเลยบอกว่าแล้วแต่คุณๆ กลับไปถามดู แล้วท่านก็ไม่สนใจแขกคนนี้อีก หันไปคุยกับคนอื่นต่อ เขายกมือไหว้คุณยายครั้งหนึ่งแล้วบอกว่า “งั้นผมไปล่ะ”
ส่วนหลวงพ่อนั่งหงุดหงิดอยู่คนเดียว ไม่ชอบใจที่เขามาถามอย่างนี้ คิดว่าคุณยายไม่น่าตอบเขาเลยเพราะมีโอกาสพลาดได้ เมื่อไม่มีใครอยู่แล้วจึงถามท่านว่า “ยายไปตอบอย่างนั้นทําไม ยายอย่าพูดอย่างนี้ซิ ยายอย่าตอบอย่างนี้รู้ไหม ยายเฉยๆ ได้ไหมถ้าคนพวกนี้มาอย่าไปพูดนะ”
คุณยายหัวเราะแล้วบอกว่า “ยายเห็นอย่างนั้นยายก็ตอบไป” “แล้วเกิดมันไม่ถูกจะทําอย่างไรล่ะยาย” ท่านก็บอกว่า “ยายเห็นยายก็พูดอย่างนั้นแหละ” ท่านพูดเป็นภาษาของท่านอย่างนี้
หลายเดือนต่อมาแขกท่านนั้นกลับมาพบคุณยายอีกครั้ง มาเล่าให้ท่านฟังว่าเขาไปสืบจนทราบแล้วว่ามีญาติชื่อรัศมีจริง เคยเป็นมีคนายกด้วย แต่โกงของวัดหรือเปล่าเขาไม่รู้เหมือนกัน ถึงกระนั้นเขาก็ไม่เชื่อว่าเปรตมีจริง คือยังดื้อเหมือนเดิม แต่คุณยายฟังแล้วเฉยๆ ยังอารมณ์เดียวไม่เปลี่ยนแปลง