อยู่ในระหว่างการทดสอบการใช้งาน

คุณยาย In My Heart

Most Commented

อธิษฐานล้อมคอก

หลวงพ่อเคยได้ยินคุณยายใช้คําว่า “ระลึกชาติปัจจุบัน” อยู่เรื่อยๆ หลายคนอาจไม่ค่อยเข้าใจกับคําว่าระลึกชาติปัจจุบัน เพราะเคยได้ยินและรู้จักแต่การระลึกชาติในอดีต หลวงพ่อถามคุณยายว่า“ระลึกชาติปัจจุบันเป็นอย่างไร” คุณยายบอกว่า“เอ้า เราก็ดูสิ ตั้งแต่เราเกิดมาจําความได้ เรื่อยมาจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ เรามีข้อบกพร่องอะไรบ้างทางกายทางวาจา ทางใจ ทางครอบครัว สิ่งรอบตัวอะไรต่างๆ สารพัด ถ้าเรามีข้อบกพร่อง เราก็สร้างบุญให้เยอะๆแล้วก็อธิษฐานล้อมคอก” นี่คือภาษาของท่านอธิษฐานล้อมคอกว่า ภพชาติต่อไปขอให้เราอย่าได้เป็นอย่างนี้ ขอให้เป็นอย่างนั้น แล้วอธิษฐานยาวไปถึงทุกภพทุกชาติตราบจนกระทั่งถึงที่สุดแห่งธรรมท่านอุปมาเอาไว้ว่า เหมือนคอกวัว คอกควาย ที่ป้องกันภัยจากโจร...

เมื่อต้องเผยแผ่

ผู้ทําหน้าที่เผยแผ่วิชชาธรรมกายในยุคของพระเดชพระคุณหลวงปู่นั้นมีทั้งพระภิกษุและอุบาสิกาแม่ชีบางท่านก็มีโอกาสในการศึกษาวิชชาธรรมกายอยู่ในโรงงานทําวิชชาด้วย ยกตัวอย่างเช่นคุณยายทองสุขสําแดงปั้น ซึ่งท่านมีความถนัดในการเผยแผ่มากคุณยายทองสุขมีอัธยาศัยชอบพูดคุยช่างเจรจา เป็นบุคลิกที่แตกต่างจากคุณยายจันทร์ที่เป็นคนพูดน้อย แต่ภายในท่านเหมือนกัน จะเห็นได้ว่าผู้ทําหน้าที่รบกับพญามารจะมีอัธยาศัยอย่างหนึ่งส่วนผู้ทําหน้าที่เผยแผ่ก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง อย่างไรก็ตามทั้งสองฝ่ายต่างต้องเกื้อกูลกัน โดยฝ่ายทําวิชชามุ่งเข้าไปสู่ภายใน ส่วนฝ่ายเผยแผ่ขยายไปสู่ภายนอก อันที่จริงแล้วคุณยายทองสุขก็รักการทําวิชชามาก ท่านไม่ปรารถนาที่จะออกจากโรงงานทําวิชชาไปเผยแผ่ เพราะเกรงว่าจะรู้วิชชาไม่เท่ากับผู้อื่น แต่พระเดชพระคุณหลวงปู่จําเป็นต้องส่งคุณยายทองสุขไปเพราะแต่ก่อนท่านส่งพระภิกษุไปทําหน้าที่เผยแผ่จนเป็นที่ตั้งแห่งศรัทธาของญาติโยม เป็นเหตุให้มีประชาชนมาปฏิบัติธรรมด้วยนับพันคนในสมัยนั้นซึ่งถือว่าเยอะมาก เพราะเป็นผู้มีการศึกษาทางด้านปริยัติเป็นอย่างดีด้วย แต่เมื่อส่งไปแล้วล้วนหายไปหมด ไม่หวนกลับมาหาท่านอีกเลย หลวงปู่ก็รําพึงว่าพญามารมันเก่งที่สามารถเอาไปได้ หลวงปู่รําพึงในโรงงานทําวิชชาว่า “เออพ่อส่งไก่ไปขัน ก็ไม่กลับมาหาพ่อเลย เห็นทีจะต้องส่งเป็ดไป” ไก่ในที่นี้หมายถึงพระภิกษุ ส่วนเป็ดหมายถึงอุบาสิกาแม่ชีซึ่งเวลาร้องออกมาแล้วไม่ดังเท่าไก่ เพราะไก่ขันดังกว่ามาก แต่ในเมื่อส่งไก่ไปแล้วไม่กลับมาท่านก็ปรารภผ่านช่องที่เจาะเอาไว้ว่า“พ่อต้องเอาเป็ดไปขันแล้วละ...

คําเดียวของคุณยาย

คุณยายเป็นคนสงบเงียบเรียบง่ายที่ชอบนั่งหลับตาทําสมาธิท่านนั่งธรรมะทุกวันและได้ใช้วิชชาที่ท่านเชี่ยวชาญตามที่ได้ศึกษามาจากพระเดชพระคุณหลวงปู่เพื่อช่วยเหลือส่วนรวม ตลอดเวลาที่ผ่านมา หลวงพ่อไม่เคยได้ยินคุณยายปริปากบ่นในการทําหน้าที่เลยว่า “ไม่” “ไม่ไหว” หรือ “ไม่ได้” สิ่งที่หลวงพ่อได้ยินนั้นมีแต่คําว่า“ค่ะ” “ได้ค่ะ” ท่านพูดกับหลวงพ่ออย่างนี้แล้วถ้ามีใครมาขอบารมีท่านก็จะตอบว่า “ค่ะ” แล้วคุณยายยังช่วยพูดให้กําลังใจอีกด้วย หากคุณยายพบว่าลูกหลานคนใดที่พ่อแม่เลี้ยงไม่ได้เพราะกําลังบุญของลูกมีมากกว่า คุณยายก็จะบอกว่า “มาเป็นลูกยายนะ”บางคนก็มากราบเรียนท่านว่า พ่อแม่ ปู่ย่า ตายายของผมละโลกไปแล้ว คุณยายช่วยเอาบุญนี้ไปให้หน่อยนะครับ ยายก็“ค่ะ” “ได้ค่ะ” แล้วท่านก็แผ่บารมีไปถึงหมด เมื่อมีคนที่เจ็บไข้ได้ป่วยแล้วต้องเข้ารับการผ่าตัด มากราบเรียนท่านว่า “ยาย หนูจะไปผ่าตัด”“ผมจะไปผ่าตัด”...

คุณยายหมายเลขหนึ่ง

ครั้งหนึ่งพระเดชพระคุณหลวงปู่เคยสั่งให้คุณยายคุมบุญให้กับแม่ชีท่านหนึ่งที่หมดอายุขัยต้องละโลก ซึ่งแม่ชีท่านนั้นได้มาช่วยงานอยู่ในวัดปากน้ําโดยมีหน้าที่ทําอาหารเลี้ยงพระภิกษุสามเณร หลวงปู่ท่านถามคุณยายว่าแม่ชีอุบาสิกาตายแล้วไปไหน อันที่จริงท่านก็ทราบอยู่แล้ว แต่ท่านจะใช้งานคุณยายเมื่อคุณยายตรวจตราแล้วก็เห็นว่าแม่ชีท่านนั้นได้ไปอยู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์มีวิมานสูงใหญ่สวยงามมากคุณยายก็รําพึงว่า เขามาไม่กี่ปีทําไมเขาได้บุญเยอะขนาดนี้หลวงปู่ทราบความคิดของคุณยายจึงบอกว่าของเราไม่ต้องพูดกันแล้ว ซึ่งหมายความว่าบุญในการทําวิชชาปราบมารนั้นมหาศาลกว่ามากทีเดียว การสู้กับพญามารนั้นไม่สามารถสู้รบกันได้ด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์ใด แต่สู้กันด้วยใจที่ละเอียดต้องอาศัยกําลังบุญฤทธิ์เท่านั้น ผู้ที่จะสู้ได้จึงต้องมีกําลังบุญมาก ซึ่งคุณยายก็เป็นผู้ที่มีกําลังบุญมากในระดับนั้น และท่านได้สั่งสมบุญไม่ขาดเลยจนกระทั่งหมดอายุขัย แต่คุณยายกลับพูดว่า ท่านมีความรู้สึกว่าเพิ่งได้บุญไปนิดเดียว คําพูดนี้จึงเป็นเครื่องแสดงถึงความรู้สึกของผู้ที่กระหายในการสั่งสมบุญ ท่านเป็นผู้ที่ไม่อิ่มและไม่เบื่อในการทําความดีไม่ว่าจะทําไปมากเพียงใดแล้วก็ตาม ท่านยังมีความรู้สึกว่ายังน้อยอยู่เหมือนทะเลที่ไม่อิ่มน้ําและไฟที่ไม่อิ่มเชื้อ บัณฑิตอย่างคุณยายก็ไม่อิ่มในการสั่งสมบุญ ในยุคสมัยนั้นมีผู้บรรลุธรรมเข้าถึงพระธรรมกายอยู่มาก แต่ผู้ที่เข้าถึงวิชชาธรรมกายในระดับที่ได้รับการยกย่องจากหลวงปู่วัดปากน้ํา ผู้ค้นพบวิชชานั้น จะมีสักกี่ท่านในโลกนี้ปกติแล้วคํายกย่องนั้นเกิดขึ้นได้ยาก ถ้าหากความดีไม่มากพอ แต่เมื่อคุณยายมีความดีมากพอ คํายกย่องของท่านจึงปรากฏขึ้น ในสมัยพุทธกาล พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงยกย่องบุคคลต่างๆ...

เป็นหนึ่งไม่มีสอง

ในการศึกษาวิชชาธรรมกาย คุณยายสามารถตอบคําถามของพระเดชพระคุณหลวงปู่ได้ทุกคําถามเพราะท่านเอาใจใส่ในการทําวิชชาอยู่ตลอดเวลา หากมีใครว่าอะไรท่าน ท่านก็เฉยๆ ไม่ได้คิดโต้ตอบแต่อย่างใดและไม่นํามาใส่ใจ ท่านมีแต่ธรรมะและภารกิจของพระเดชพระคุณหลวงปู่อยู่ในใจ สิ่งที่ท่านกลัวมีเพียงอย่างเดียว คือกลัวพระเดชพระคุณหลวงปู่จะเรียกท่านว่า “ไอ้ขี้ไต้” ซึ่งเป็นคําที่พระเดชพระคุณหลวงปู่ใช้เรียกผู้ทําวิชชาที่ไม่สามารถตอบคําถามได้เพราะธรรมชาติของขี้ไต้จะต้องเขี่ยก่อนจึงติดไฟเปรียบเสมือนผู้ที่ไม่ใส่ใจทําวิชชาต้องให้คอยกระตุ้นเตือนอยู่เสมอ คุณยายไม่ชอบคํานี้และไม่อยากให้เกิดขึ้นกับตัวท่าน ท่านจึงหมั่นเพียรในธรรมปฏิบัติเพื่อให้สามารถตอบคําถามของพระเดชพระคุณหลวงปู่ได้และอย่าให้หลวงปู่รําพึงเรียกท่านว่าไอ้ขี้ไต้เท่านั้น เมื่อถึงเวลาที่คุณยายต้องรับผิดชอบหน้าที่ในโรงงานทําวิชชา พอนั่งเข้าที่แล้วท่านจะเตรียมพร้อมในการตอบคําถามต่างๆ เพราะวิชชาธรรมกายนั้นต้องศึกษาด้วยการถามตอบ และจะต้องมีการส่งผลัดถ่ายทอดต่อกันไปว่า ผู้นี้ได้ทําวิชชาไปถึงจุดนี้แล้วให้ผู้ที่มารับหน้าที่ต่อได้นั่งเข้าที่มองตามไปว่ากลุ่มแรกทําวิชชาไปถึงตรงไหน พอญาณจรดกันได้กลุ่มแรกจึงจะสามารถถอนตัวออกมาเพื่อให้กลุ่มถัดไปรับช่วงต่อ คุณยายเอาใจใส่ต่อการทําวิชชาธรรมกายมาก ท่านจึงจรดใจไว้ที่ศูนย์กลางกายอยู่ตลอดเวลาจนกระทั่งได้รับคําชมจากพระเดชพระคุณหลวงปู่วันหนึ่งหลังจากที่พระเดชพระคุณหลวงปู่ซักถามผู้ทําวิชชาในโรงงานทําวิชชาหลายๆ ท่านรวมทั้งคุณยายแล้ว ครู่หนึ่งท่านก็รําพึงขึ้นมาในท่ามกลางนักทําวิชชาทั้งหลายในที่นั้นว่า “ลูกจันทร์นี้เป็นหนึ่งไม่มีสอง” พระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ํากล่าวคํานี้ครั้งเดียวเท่านั้นแล้วก็นั่งนิ่ง หมายความว่าคุณยายของเราสู้ทําวิชชาอย่างเอาชีวิตเป็นเดิมพันโดยไม่คํานึงถึงสิ่งใดเลย ท่านมุ่งไปสู่ที่สุดเพียงอย่างเดียว...

ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย

คุณยายเป็นผู้ที่รักการฝึกฝนตนเองอย่างยิ่ง ท่านมักตรวจตราดูอยู่เสมอว่าตัวของท่านเองยังมีข้อบกพร่องใดหลงเหลืออยู่บ้าง เมื่อพบแล้วท่านจะแก้ไขทันทีคุณยายทราบดีว่าท่านต้องพบเจอปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ในการสร้างบารมีไปสู่ที่สุดแห่งธรรม แต่ท่านกล่าวย้ําเสมอว่า “เราต้องอดทนแล้วมุ่งหน้าทําความดีต่อไป อย่างอมืองอเท้าหรือปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม” ท่านไม่เคยหวาดหวั่นหรือวิตกกังวลกับสิ่งเหล่านั้นเลย ท่านเพียรสร้างความดีเรื่อยมาจนกระทั่งมั่นใจที่จะบอกกับหลวงพ่อและทุกคนว่า “ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย” ทั้งนี้ไม่ได้หมายถึงภพชาติสุดท้ายที่ท่านจะเกิด แต่หมายถึงชาติสุดท้ายที่พญามารจะสามารถสับโขลกท่านด้วยข้อบกพร่องต่างๆ ได้ข้อบกพร่องเหล่านี้ล้วนเกิดจากอดีตชาติที่ผ่านมาทั้งสิ้น แม้คุณยายได้สั่งสมบุญบารมีมามากแต่ในบางครั้งท่านก็เผลอ เนื่องจากกิเลสยังไม่หมด พญามารจึงได้โอกาสสอดผังวิบากกรรมเข้ามาบังคับท่าน เนื่องจากมารนั้นไม่ใช่หมูและมารก็ไม่ใช่แมว เรายังไม่ชนะเขา และเขาก็ยังไม่ชนะเรา ยังเป็นคู่ปรับที่ต้องต่อสู้กันอยู่ โดยมีใจของเราเป็นสมรภูมิช่วงใดที่พญามารเข้ามาบังคับก็จะทําให้เราคิดชั่วพูดชั่ว ทําชั่ว แล้วพญามารก็ตั้งโปรแกรมของชีวิตให้มีวิบากเป็นผล ถ้าฝ่ายพระหรือฝ่ายกุศลเข้าสอดละเอียด ยึดปกครองกลางกายได้ทําให้คิดดีพูดดีทําดีก็จะเกิดผลกรรมที่ดีตามมา ในชาตินี้...

Editor Picks