อยู่ในระหว่างการทดสอบการใช้งาน

หน้าแรกบทความ

บทความ

Most Commented

สะพานเชื่อมวัดปากน้ํา

       หลังจากที่ได้ยินได้ฟังกิตติศัพท์ของหลวงปู่วัดปากน้ําแล้ว คุณยายก็สืบดูว่าใครจะพาท่านไปถึงครูบาอาจารย์ได้แล้วท่านก็ทราบมาว่าคุณนายเลี้ยบ ซึ่งเป็นอุปัฏฐากคนสําคัญคนหนึ่งของวัดปากน้ํา สามารถเป็นสะพานเชื่อมให้ท่านได้ คุณนายเลี้ยบเป็นเศรษฐินีที่ไปทําบุญเลี้ยงพระที่วัดปากน้ําเป็นประจํา เป็นกองเสบียงสําคัญคนหนึ่งของพระเดชพระคุณหลวงปู่ ท่านจึงตั้งใจว่าจะต้องไปอยู่ที่บ้านของคุณนายเลี้ยบให้ได้เสียก่อน เพราะท่านคิดไปตามขั้นตอนว่าท่านยังไม่รู้จักใคร หากไปวัดปากน้ําเองโดยตรงอาจจะไม่มีใครรับเอาไว้เนื่องจากท่านเองก็ไม่ได้เรียนหนังสือ อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้      เมื่อคุณยายไปถึงบ้านคุณนายเลี้ยบท่านก็ยอมตนเป็นคนรับใช้ทั้งที่อยู่บ้านแล้วมีอิสระ แต่ท่านก็ยอมสละทุกสิ่ง ถึงกระทั่งยอมเป็นคนรับใช้เศรษฐินีท่านนี้ ด้วยเพียงหวังว่าคุณนายจะเป็นประดุจสะพานเชื่อมพาท่านไปวัดปากน้ําภาษีเจริญเพื่อเรียนวิชชาธรรมกายท่านศึกษาลู่ทางและวางแผนคิดการใหญ่ไปถึงขนาดนั้น ถือได้ว่าไม่ใช่เรื่องธรรมดาเลยที่คนมีฐานะพออยู่พอกินไม่เดือดร้อนด้วยเรื่องใดๆ กินอยู่แต่พอดีในวิถีชีวิตสังคมเกษตรกรรม จะต้องมายอมตนเป็นคนรับใช้ถึงขนาดนี้     ด้วยความที่คุณยายเป็นคนมีระบบมีระเบียบและรักความสะอาดมาตั้งแต่ยังเยาว์วัย...

กิตติศัพท์วิชชาธรรมกาย

คุณยายได้เพียรพยายามเสาะหาว่ามีใครบ้างที่จะสามารถเป็นครูสอนวิธีพบพ่อที่ตายไปแล้วได้จนกระทั่งท่านมีอายุได้18 ปีในที่สุดบุญก็บันดาลให้ท่านได้ยินกิตติศัพท์ของหลวงปู่วัดปากน้ํา ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกายซึ่งขณะนั้นท่านเป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่วัดปากน้ําภาษีเจริญ โดยหลวงปู่สอนว่าใครก็ตามที่เข้าถึงพระธรรมกายและเรียนวิชชาธรรมกายแล้วจะสามารถไปเยือนนรกหรือสวรรค์ได้จับมือถือแขนชาวสวรรค์หรือสัตว์นรกก็ได้พูดจาโต้ตอบคุยกันรู้เรื่องเหมือนคุยกันกับมนุษย์ในโลก สามารถที่จะไปพบพ่อแม่ ปู่ย่า ตายายบรรพบุรุษ บุพการีญาติสนิทมิตรสหายสัมพันธชนที่ละโลกไปแล้วเพื่อเอาบุญไปให้ได้ส่วนใครที่มีทุกข์อยู่ในอบายก็สามารถช่วยได้ด้วยวิชชาธรรมกาย บุคคลที่จะสอนวิธีการไปนรกไปสวรรค์ ไปช่วยพ่อแม่ได้ถือว่าไม่ใช่เรื่องธรรมดา เพราะวิชชานี้ไม่มีการเรียนการสอน ในสถาบันการศึกษาใดๆ ในโลก แต่มีที่วัดปากน้ํา ภาษีเจริญ โดยพระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ําเป็นผู้สอน เมื่อคุณยายได้ทราบดังนี้ แล้วท่านก็ตื่นเต้นดีใจมาก ความทุกข์ที่อยู่ในอกของท่านก็มลายหายไปครึ่งหนึ่งราวกับได้ของขวัญอันประเสริฐหรือได้สมบัติจักรพรรดิถือว่าเป็นข่าวดีที่สุดที่ไม่มีอะไรจะประเสริฐไปกว่านี้ ท่านปีติมากในระดับที่ตัดสินใจและวางแผนการที่จะไปวัดปากน้ําในทันทีและรอคอยเวลาอันเหมาะสมเพื่อที่จะจัดการเรื่องทางบ้านให้เสร็จเรียบร้อยเสียก่อน จนกระทั่งท่านมีอายุได้ 26 ปีจึงสละทรัพย์สมบัติแก้วแหวนเงินทองที่พ่อแม่ให้นํามามอบให้กับพี่น้องและหมู่ญาติจนหมด ส่วนที่ดินท่านก็ถวายพระน้องชายที่บวชอยู่ ในสังคมเกษตรกรรมนั้นใครมีเครื่องประดับต่างๆ ก็ถือว่าเป็นคนมีฐานะเป็นที่นับหน้าถือตา แต่คุณยายท่านก็สามารถ สละสิ่งเหล่านี้ได้หมดเพื่อบรรลุเป้าหมายท่านตั้งใจออกจากเรือน เหมือนนกที่จากคอนเรียกได้ว่า...

ความคิดอัศจรรย์

ความคิดของคุณยายที่จะไปตามหาพ่อในปรโลกถือว่าเป็นความคิดอัศจรรย์เพราะสําหรับคนทั่วไปนั้นเมื่อบุพการีละโลกไปแล้ว อย่างมากก็จุดธูปขอขมาหรือกราบไหว้ที่รูปภาพพร้อมกับทําบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้เสร็จแล้วก็ลืมเลือนไป บ้างก็ทําเป็นระยะๆ บ้างก็ไม่ทําเสียเลย แต่คุณยายไม่เป็นเช่นนั้น ท่านมีความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะพบพ่อเพื่อขอขมาให้ได้การที่คุณยายตั้งใจว่า “สักวันหนึ่งจะต้องตามไปขอขมาพ่อให้ได้ไม่ว่าจะอยู่หนใด” นับเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดา หัวใจของท่านยิ่งใหญ่ยากที่จะมีใครเสมอเหมือนเป็นความคิดของชาวนาคนหนึ่งในสังคมเกษตรกรรมที่น่าอัศจรรย์ใจเป็นอย่างยิ่งท่านไม่ได้คิดแค่วันเดียวแล้วล้มเลิก แต่ท่านคิดอย่างจริงจังฝังใจมาตลอดต่อเนื่องทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ว่าพ่อตายแล้วไปอยู่ไหน คืออยู่ที่ไหนไม่สําคัญ สําคัญที่ท่านจะไปหาให้ได้นับแต่นั้นมาท่านก็พยายามเสาะหาว่ามีใครที่ไหนบ้างที่จะสามารถตอบคําถามที่ค้างคาใจหรือสอนให้ท่านไปพบพ่อได้หากมีใครสักคนที่ช่วยให้ท่านสมปรารถนา ท่านก็จะยอมทําทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้เขาสมดังใจทุกประการความคิดเช่นนี้ไม่อาจเกิดขึ้นได้ง่ายๆ ในหมู่มนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นภายในประเทศหรือต่างประเทศทั่วโลก น้อยคนนักที่จะคิดอย่างยาย ความคิดนี้จึงไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลย แม้ไม่อาจจะเทียบกับความคิดของพระบรมโพธิสัตว์ตอนแบกมารดาอยู่ในทะเลแล้วตั้งความปรารถนาที่จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตาม แต่ก็เป็นความคิดที่แตกต่างจากคนทั่วไปอยู่มาก ถือว่าเป็นการคิดการใหญ่แม้แต่หลวงพ่อเองยังรู้สึกทึ่งว่า “โอ้โฮคนเช่นท่านนี้ไม่ธรรมดา” ท่านยอมที่จะประสบกับความลําบากยากเข็ญนานัปการยอมที่จะอดทนและทําทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นประดุจผ้าขี้ริ้วเช็ดเท้าที่ใครๆ อาจจะมาเหยียบย่ําได้ ท่านจะไม่สนใจสิ่งเหล่านั้นเพราะท่านมีความคิดอันมหัศจรรย์ที่เป็นเป้าหมายของชีวิตว่าจะต้องไปพบพ่อในปรโลกให้ได้

วิกฤติคือโอกาส

เกษตรกรในชนบทส่วนใหญ่ โดยปกติแล้วจะทํางานทุกวันยกเว้นวันพระ ซึ่งจะเป็นวันหยุดพักผ่อนเพื่อเข้าวัดทําบุญทําทานและรักษาศีล แต่สําหรับพ่อของคุณยายนั้นนอกจากเข้าวัดแล้วยังชอบดื่มสุรา เข้าทํานองวัดก็เข้าเหล้าก็กิน ทุกๆ วันพอกลับมาถึงบ้านก็จะทะเลาะกับแม่ของท่านเป็นประจําจากปกติที่เป็นคนใจดีแต่เมื่อเมาแล้วก็จะเกิดปัญหาทะเลาะเบาะแว้งกัน พลอยทําให้ลูกๆ เดือดร้อนไปด้วย แม่ของท่านก็จะมีคําพูดเด็ดๆ เอาไว้สําหรับปรามพ่อในยามเมา คือทุกครั้งที่พ่อเมาแม่ก็จะเรียกพ่อว่า“ไอ้นกกระจอกอาศัยรังเขาอยู่” ที่เรียกอย่างนี้เพราะแม่เป็นผู้มีฐานะดีกว่าพ่อ จึงอุปมพ่อว่าเป็นเหมือนนกกระจอก คําพูดนี้สะดุดใจพ่อทุกครั้ง เมื่อได้ยินคํานี้แล้วพ่อก็จะหยุด มีอยู่วันหนึ่ง พ่อในฐานะเป็นผู้นําครอบครัวทนคํากล่าวของแม่ไม่ไหวทําให้ทะเลาะกันหนักขึ้น พ่อจึงตะโกนถามลูกๆ ว่า“พวกเอ็งได้ยินไหมล่ะ แม่เขาว่าพ่ออย่างไร”ลูกคนอื่นก็ไม่กล้าตอบทําให้พ่อตะโกนหนักขึ้นคุณยายท่านเห็นเหตุการณ์ดังนั้นจึงไม่อยากให้พ่อกับแม่ทะเลาะกันและไม่คิดว่าคําของแม่เป็นคําด่า จึงตอบกลับไปว่า “แม่เขาไม่ได้ว่าพ่ออย่างนั้นหรอก” พอพ่อได้ยินเท่านั้นเองจึงหันมาโกรธคุณยายและแช่งด้วยความเมาว่า “ให้มึงหูหนวก...

ไปให้ถึงดวงตะวัน

คุณยายเคยบอกกับหลวงพ่อว่าการดูแสงเงินแสงทองของดวงอาทิตย์ให้สวยงามต้องไปดูที่ท้องนา เวลาท่านนั่งอยู่บนหลังคาราบาวมองดูดวงอาทิตย์ที่สุดขอบฟ้า ท่านมักจะคิดคํานึงว่า “สักวันหนึ่ง เราจะไปให้ถึงดวงตะวันให้ได้” หมายความว่าท่านอยากจะขี่คาราบาวไปให้ถึงดวงอาทิตย์ซึ่งหลวงพ่อก็ยังไม่เคยเห็นเกษตรกรคนไหนมีความคิดคํานึงเหมือนอย่างท่าน จิตใจของท่านนั้นไม่เหมือนใคร ไม่ว่าจะเปรียบเทียบกับเกษตรกรในท้องถิ่นหรือเกษตรกรทั่วโลก เพราะผู้ที่ต้องทํานาอยู่บนหลังคาราบาวไม่ได้มีแต่ท่านเพียงผู้เดียว ยังมีอีกเป็นแสนเป็นล้านคนและมีมานานแล้ว ไม่ได้มีเฉพาะในยุคของท่าน แต่มีมายาวนานมาก นับตั้งแต่โลกเกิดขึ้นตั้งอยู่และเสื่อมสลายไป หลายภพหลายชาติก็มี อย่างนี้ แต่จะมีชาวนาคนไหนบ้างที่คิดแบบคุณยายไม่ว่ายามรุ่งอรุณ หรือยามตะวันชิงพลบ คุณยายท่านจะขี่คาราบาวและมองดวงตะวันไปด้วย ทั้งๆ ที่ท่านเป็นเกษตรกรที่อายุยังน้อย แต่ความคิดของท่านกลับลึกซึ้งและกว้างไกล หากเราลองคํานวณดูระยะทางจากโลกถึงดวงอาทิตย์จะเท่ากับ 93 ล้านไมล์คุณยายท่านมีวิสัยทัศน์ยาวไกลถึงขนาดนี้ตั้งแต่อยู่บนหลังคาราบาว เกษตรกรที่ขี่คาราบาวแล้วคิดได้อย่างนี้ถือว่าไม่ธรรมดาแต่นี่คือความคิดคํานึงของท่านที่มีอยู่เป็นปกติวิสัย...

สัมผัสพิเศษ

คุณยายเล่าว่าเมื่อสมัยท่านยังเป็นเด็ก ท่านมักจะพบกับอมนุษย์อยู่เรื่อยๆ เวลานอนอยู่กับแม่แล้วเห็นอมนุษย์ ท่านจะร้องบอกว่า “มันมาแล้ว มาจากต้นไผ่ต้นนั้น” ซึ่งก่อนมาจะมีเสียงสัญญาณจากนกก่อน ท่านทําเสียงให้หลวงพ่อฟังว่ามันจะร้อง “กู่ กู่ กู่”ท่านจึงเรียกนกเหล่านี้ว่า “นกสามกุก” มีท่านคนเดียวเท่านั้นที่เห็นอมนุษย์นี้แม่ของท่านจึงป้องกันด้วยการให้ท่านมานอนตรงกลาง ขนาบข้างโดยแม่ข้างหนึ่งและพ่ออีกข้างหนึ่งบ้างหรือเป็นพี่บ้างอมนุษย์มักจะมาหยอกเย้าแต่ท่านเท่านั้น จนกระทั่งใครๆ เข้าใจว่าท่านโดนผีเข้า จึงให้หมอผีมาทําพิธีขับไล่ เมื่อหมอผีมาถึงก็เริ่มปราบด้วยวิธีการพูดคุยกันก่อนซึ่งท่านก็คุยธรรมดาๆ ว่าท่านไม่ได้ถูกผีเข้าแต่หมอผีไม่เชื่อ จึงเอาหวายครูที่รับสืบทอดกันมายาวนานมาตียาย ยายก็ร้องว่า “มาตีฉันทําไมน่ะ” เสียงยายก็ยังเหมือนคนปกติแต่หมอผีกลับบอกว่า “สู้เหรอ...

Editor Picks